เกียรตินิยม เป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนคาดหวังจากการเรียนในระดับปริญญาตรี แต่กับบางคนก็ไม่ได้มีความหมายอะไร แต่ท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างก็ขึ้นกับตัวเองกำหนด ซึ่งผมก็เป็นนักเรียนคนหนึ่งที่มาจากบ้านนอก เรียนโรงเรียนระดับตำบล นักเรียน 200-300 คน เข้ามาเรียนที่ ม.สุรนารี (มทส.) ด้วยโควต้าจังหวัด สำนักวิชาวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งเปิดรับก่อนใครเขา ทำให้ได้มาเรียนที่นี่เลย ซึ่งการเรียนที่นี่จะเป็นการเรียนแบบสามเทอม ประมาณ 3-4 เดือนต่อเทอม และจะมีการสอบกลางภาค-ปลายภาคเร็วมาก เดือนกว่า ๆ ก็สอบแล้ว และยังเป็นมหาวิทยาลัยที่มีคนโดนรีไทน์มากเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ เนื่องด้วยการรับเป็นแบบโควต้า ไม่ใช่การสอบเข้า จึงทำให้มีทั้งคนเก่ง คนไม่เก่ง เข้ามาเรียน ซึ่งผมก็เป็นคนที่ไม่เก่ง แต่ได้เข้ามาเรียน เพราะที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยแห่งการให้โอกาส ผมจึงได้เรียนในที่นี่จนจบการศึกษา โดยเกณฑ์เกียรตินิยมอันดับ 1 มทส. จะต้องได้เกรด 3.50 ขึ้นไป ไม่มีคะแนน F และไม่เคยถอนรายวิชา ปี 1ผมสอบไม่ผ่านการคัดเลือกสายการเรียนของมหาวิทยาลัย โดยจะมีสายฟิสิกส์และเคมี โดยข้อสอบเป็นข้อสอบพื้นฐานฟิสิกส์/คณิตศาสตร์ แต่ผมทำไม่ได้ เลยได้ไปเรียนสายเคมีแทน (ยากกว่าเดิมอีก ฮ่าฮ่า) จนจบภาคการศึกษาแรก ผมได้เกรด (GPA) 2.81 ได้ A คณิตศาสตร์ แต่พลาดได้ D+ ซึ่งเป็นวิชาที่ไม่ถนัดเอาเสียเลย แต่ก็รู้สึกดีที่ได้เกรดระดับนี้ เพราะคิดว่าตัวเองจะติดเอฟซะแล้ว ต่อมาเทอมสองรู้สึกว่าตัวเองมีพื้นฐานพอสมควร ตั้งใจเรียนมากขึ้น อ่านหนังสือ ติวให้เพื่อน จนได้เกรด GPA = 3.50 (เกรดเฉลี่ยรวม) GPAX = 3.16 รู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ว่าตัวเองรอดจากการเรียนใน ม. นี้แน่แล้ว เทอมสามก็ยังไม่ประมาทตัวเอง ตั้งใจมากขึ้น เจอวิชายาก ๆ อย่างเขียนโปรแกรมก็ไม่หวั่น จนได้ GPA = 3.88 GPAX =3.38 รู้สึกทึ่งในตัวเองมาก ๆ ปิดเทอมกลับบ้านด้วยความภาคภูมิใจ ปี 2เจออุปสรรคใหญ่หลวง เมื่อป่วยเป็นโรคปลายประสาทอักเสบ แขนขาอ่อนแรง เดินได้นิดหน่อย ถ้าวิ่งถึงกับล้มเลย ขึ้นบันไดก็ยาก ซึ่งเป็นปัญหาต่อการเรียนมาก ยิ่งต้องเข้าไปเรียนในวิชาที่ยาก ๆ เช่น static programing 2 ต้องขาดเรียนไปเข้าพักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลกว่าอาทิตย์ ถึงจะกลับมาเรียนได้ และค่อย ๆ มีอาการดีขึ้น ทำกิจกรรมอะไรกับเพื่อไม่ค่อยได้เลยครับ พอถึงช่วงสอบก็อ่านหนังสือตามปกติ แต่จะนั่งนานไม่ได้ เพราะแขนขาจะชา ผลที่ได้ของเทอมนี้คือ เกรดลดลง GPA = 3.11 GPAX =3.31 เข้าเทอมสองก็เจอวิชาที่ยากขึ้นอีก เช่น Mechanic of material, Dynamics, Thermal dynamics เป็นต้น เทอมนี้อาการหายดีแล้ว แต่เข้ากิจกรรมสาขาเยอะมาก เข้าทุกวันจนไม่เป็นอันเรียนเลย แต่ก็ดีครับ ได้เพื่อน สนิทกับเพื่อนเยอะขึ้น เกรดก็เพิ่มขึ้นมานิดหน่อย ปี 2./2 GPA = 3.23 GPAX =3.29 พอเข้าเทอม 3 ยิ่งเจอวิชาโหดขึ้นไปอีก ภาษาอังกฤษ 3 (ยากสำหรับผม ฮ่าฮ่า) ฟลูอิด วิศวกรรมไฟฟ้า คณิตศาสตร์ขั้นสูง แต่เทอมนี้ลาออกจากการเข้าสาขา เพราะคิดว่าไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด แต่เกรดก็เพิ่มมานิดเดียว ปี 2./3 GPA = 3.33 GPAX =3.30 ด้วยความฟลุกของชีวิต จากที่ได้อันดับ 3 ของสาขา มือหนึ่งพักการเรียน มือ 2 ได้เกรดน้อยกว่านิดเดียว ทำให้ได้ขึ้นเป็นมือ 1 สาขา รับเงินรางวัลจาก ม. 10,000 บาท โชคดีแบบฟลุก ๆ ปี 3ได้เรียนวิชาสาขามากขึ้น โหดเหมือนกัน แต่พื้นฐานดีขึ้นเยอะมาก ตั้งใจเรียนอย่างเดียว ไม่ได้ทำกิจกรรมสาขา เทอมแรกฟาดไป 3.89 GPAX =3.38 กลับไปเท่า ปี 1 เทอมสองมีแอบไปเข้ากิจกรรมด้าน Social enterprise ได้รู้เห็นกว้างมากขึ้น กระทบการเรียนนิดหน่อย เนื่องจากลาไปเข้ากิจกรรมบางเวลา ปี 3./2 GPA = 3.57 GPAX =3.41 เทอม 3 เข้ากิจกรรมชมรมทั้งเทอม แต่จัดการเวลาได้ดีกว่า ทำกิจกรรมไปด้วย เรียนไปด้วย ขยันทบทวนโจทย์ และมีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น ปี 3./3 GPA = 3.93 GPAX =3.47 เกือบถึง 3.50 เกียรตินิยมอันดับ 1 แล้ว ปี 4เทอมแรกวิชาเรียนเริ่มหมด เลยไปลงวิชาเสรีเพื่อดึงเกรด แต่หารู้ไม่ว่าดึงเกรดลง ได้ B มา ทำให้ได้ GPAX เท่าเดิม 3.47 เทอม 2 ไม่มีอะไรมากครับ ไปฝึกงาน พอเข้าเทอม 3 ทำโปรเจคจบอย่างเดียว ตัดสินใจเอาแค่เหรียญเงิน อันดับ 2 เพราะอยากมีเวลาว่าง และได้กลับบ้านด้วย เลยขออาจารย์ไม่ลงเรียนเพิ่ม แต่อาจารย์ไม่ยอม เลยได้ลงเรียนเพิ่มอีก 2 ตัว รวมวิชาโปรเจกต์อีก 1 ตัว ซึ่งคำนวณไว้แล้วต้องได้ A เท่านั้น และได้ 3.50 พอดีเป๊ะ พอจบเทอม 3 ก็เป็นไปตามที่หวังได้ GPA = 4.00 GPAX =3.50 ได้เกียรตินิยมอันดับ 1 จบการศึกษาวิธีการพัฒนาตนเองตั้งเป้าหมายที่สามารถทำได้ แจกแจงวิธีการที่จะทำให้บรรลุเป้าหมาย และมีระยะเวลากำหนด เช่น ต้องได้ GPAX 3.50 ภายในปีการศึกษานี้ โดยตั้งใจเรียนในห้องให้เข้าใจ ทบทวนหนังสืออยู่เสมอ ฝึกซ้อมทำโจทย์ให้เยอะขึ้นเรียนโดยใช้ความเข้าใจ พร้อมกับความจำ แต่อย่าจำอย่างเดียว เพราะจะพลิกแพลงยากพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ถ้าวันไหนเพลีย รู้สึกว่ายังไม่เข้าใจบางเรื่อง ให้นอนก่อน เพื่อให้สมองได้พัก ค่อยกลับมาทบทวนอีกครั้งให้รางวัลตัวเอง เพื่อสร้างคุณค่าของการบรรลุเป้าหมายพยายามเข้าหาอาจารย์ เข้าหาคนเก่ง และติวให้เพื่อนคนอื่น ๆ เพราะการติวคือการทบทวนที่ดีที่สุด เพราะเราจะตั้งใจและเตรียมตัวไปอย่างดี เวลาทำข้อสอบก็จะสบายใจเห็นไหมครับ ว่าการที่เราไม่มีพื้นฐาน ได้เกรดน้อย ๆ มาแต่ต้น ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีสิทธิ์ในการได้เกียรตินิยม ถึงแม้มันไม่ได้มีความหมายอะไรกับชีวิต แต่มีความหมายกับความทรงจำที่เราเคยตั้งใจทำมันลงไป สิ่งสำคัญคือการตั้งเป้าหมาย แจงรายการที่ต้องทำเพื่อบรรลุเป้าหมาย แล้วลงมือทำมันให้สำเร็จ ขอบคุณรูปภาพ ภาพปก: เจ้าของบทความ และ ภาพ 3D ในโปรแกรม Microsoft power point 365ภาพที่ 1-5: เจ้าของบทความเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !