บอส อยู่วิทยา: ตร.เตรียมส่งให้ อสส.รื้อคดี หลังพบข้อมูลใหม่เกี่ยวกับความเร็วและการเสพโคเคน
คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีอัยการและตำรวจสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติพบข้อบกพร่องใหม่อย่างน้อย 4 ประการที่ทำให้ตำรวจสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา ตามสำนวนที่อัยการเสนอมา พร้อมชง ผบ.ตร.ตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยพนักงานสอบสวนเพิ่มเติม พร้อมส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดรื้อคดีใหม่ จากหลักฐานเกี่ยวกับความเร็วและการเสพโคเคน
หลังจากใช้เวลาตรวจสอบ 13 วัน คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ชุดดังกล่าวระบุว่า พบข้อบกพร่องในสำนวนคดีที่พนักงานสอบสวนสน.ทองหล่อรับคดีมาจนถึงการสอบสวนการใช้ดุลพินิจไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องของ พล.ต.ท. เพิ่มพูล ชิดชอบ ผู้ช่วย ผบ.ตร.
ในการแถลงข่าว พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวศยะ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรองประธานกรรมการสอบสวนชุดตำรวจคดีของนายวรยุทธ อยู่วิทยา ได้อธิบายถึงที่มาที่ไปนับตั้งแต่การดำเนินคดีตั้งแต่ 3 ก.ย. 2555 หรือราว 8 ปีที่ผ่านมาเพื่ออธิบายถึงขั้นตอนกระบวนการต่าง ๆ โดยพบข้อบกพร่องในสำนวนที่เกิดขึ้นจากพนักงานสอบสวนชุดเก่าและชุดใหม่
- คณะทำงานของอัยการสูงสุดพบพยานหลักฐานใหม่ สั่งสอบเพิ่มเรื่องความเร็วและยาเสพติด
- "วิชา" ตั้งคณะทำงานตรวจสอบอัยการ-ตร. เกี่ยวข้องคดี "บอส อยู่วิทยา"
- นายกฯ สั่งอายัด-ชันสูตรซ้ำศพพยานสำคัญคดี "บอส อยู่วิทยา"
- ครอบครัวอยู่วิทยาอีกสายเรียกร้องครอบครัวของวรยุทธ "ทำทุกอย่างให้เป็นที่ยอมรับของสังคม"
โดยกลุ่มพนักงานสอบสวนชุดเก่าประกอบด้วย 11 นาย ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ชี้มูลความผิดทางวินัยไปแล้วก่อนหน้านี้ ในกรณีช่วยเหลือนายวรยุทธ ไม่ให้ถูกดำเนินคดี อาทิ ไม่ได้ทำการสอบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ทำการค้นตรวจบ้านผู้ต้องหาในวันเกิดเหตุ ประกอบสำนวนสอบสวน ไม่ได้ทำการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์และไม่ได้รวบรวมหลักฐานในทันทีเป็นเหตุให้ขาดพยานหลักฐานในการฟ้อง รวมทั้งมีพฤติการอื่น ๆ ช่วยเหลือในข้อหาขับรถขณะเมาสุรา และข้อหาขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งไม่ออกหมายจับ จนเป็นเหตุให้หลบหนีได้ โดย ป.ป.ช. มีคำสั่งลงโทษทางวินัย
พล.ต.ท.จารุวัฒน์ กล่าวว่า มีพนักงานสอบสวนชุดใหม่ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมอีก 3-4 นาย อีกด้วย ซึ่งคณะกรรมการฯ ตรวจพบข้อบกพร่องเพิ่มเติมประกอบด้วย
1.ในขณะนั้นไม่ดำเนินการตรวจสอบปัสสาวะเพื่อตรวจสอบสารเสพติดในตัวผู้ต้องหา ซึ่งได้ตัวผู้ต้องหาในเวลา 9.10 น. พนักงานสอบสวนกลับไม่ตรวจสอบปัสสาวะในทันทีทำให้ผลตรวจเปลี่ยนแปลง จึงจะต้องเสนอ ผบ.ตร.เพื่อตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อหาบทลงโทษทางวินัย
2.ไม่เก็บหลักฐานคำให้การสอบสวน พยานเพิ่มเติมไว้ตามระเบียบ โดยปกติแล้วการส่งพยานหลักฐานให้อัยการ พนักงานสอบสวนจะต้องเก็บสำเนาหลักฐานได้ด้วย แต่ในขณะนั้นกลับส่งตัวจริงไปที่สำนักอัยการทั้งหมด
3.ผู้ออกรายงานให้การไม่ตรงกับรายงาน ก็ต้องถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน
4.พนักงานสอบสวนไม่ออกหมายจับตามคำสั่งพนักงานอัยการ จากการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลัก มีหลายครั้งที่ไม่ออกหมายจับ ถึงแม้ว่าจะมีเหตุ สำหรับประเด็นนี้ก็ต้องมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัย
เตรียมส่ง อสส. รื้อคดีใหม่
ขั้นตอนต่อไปนั้น คณะกรรมการชุดนี้ จะเสนอข้อสรุปผลการตรวจสอบเสนอต่อพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) เพื่อพิจารณาสั่งการ ตามกรอบการดำเนินการดังต่อไปนี้
1.จะพิจารณาข้อบกพร่องใดบ้างที่ ป.ป.ช. ได้ชี้มูลไปแล้ว กรณีบกพร่องที่ยังไม่ชี้มูลหรือลงทัณฑ์ทางคณะกรรมการจะพิจารณาความเห็นเสนอ ผบ.ตร. เพื่อพิจารณาสั่งการดำเนินการทางวินัยต่อไป และหากเป็นคดีอาญาจะได้เสนอให้ดำเนินคดีอาญาต่อไป
2.จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏเพิ่มเติม เช่น รายงานการคำนวณความเร็วโดยผู้เชี่ยวชาญมายืนยันความเร็วที่ 177 กม./ชม.และผู้เชี่ยวชาญอื่นก็ยืนยันความเร็ว 126 กม./ชม. แม้จะใช้หลักการคำนวณเดียวกันที่คำนวณได้ 80 กม./ชม. พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นพยานหลักฐานสำคัญแก่คดี ที่สามารถพิสูจน์การกระทำความผิดของผู้ต้องหาได้เพื่อให้ศาลลงโทษผู้ต้องหาตามกฎหมาย จึงเห็นควรส่งพยานหลักฐาน รายละเอียด ข้อเท็จจริงไปยังอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาดำเนินการตาม ป.วิ อาญา มาตรา 147 ต่อไป
3.คณะกรรมการตรวจพบความบกพร่องในการดำเนินคดียาเสพติดให้โทษที่ยังสามารถดำเนินการต่อไปได้ โดยได้สอบถามเพิ่มเติมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สอบปากความเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญ แล้วพบว่าสารแปลกปลอมทั้งสองชนิดที่พบในร่างกายนายวรยุทธ มาจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงเมื่อได้รับสารโคคาอีน (โคเคน)ร่วมกับเสพกับแอลกอฮอล์เท่านั้น การใช้ยาอะม็อกซีซิลลิน ทำให้เกิดสารแปลกปลอมที่เกิดขึ้นไม่ได้ ซึ่งไม่ตรงกับที่ปรากฏในสำนวนก่อนหน้านี้ที่ระบุว่ายายาอะม็อกซีซิลลินอาจจะเป็นสาเหตุให้เกิดสารแปลกปลอมดังกล่าว ซึ่งกรณีความผิดทางกฎหมายว่าด้วยการเสพโคเคน มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 1 หมื่นบาทถึง 6 หมื่นบาท ขณะนี้อยู่ภายในอายุความ ดังนั้นจึงเห็นควรให้พนักงานสอบสวนที่มีอำนาจสอบสวนดำเนินคดีในเรื่องนี้ต่อไป
4.ในประเด็นการมอบอำนาจ ผบ.ตร. จะเข้ามาดูเรื่องการสั่งคดีเรื่องแย้งและจะวางกฎระเบียบ
"เนตร นาคสุข" ย้ำที่สั่งไม่ฟ้องเป็นไปตามกรอบสำนวนพนักงานสอบสวน
ในวันเดียวกันนี้ คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานกรรมาธิการฯ ประชุมร่วมกับ คณะกรรมาธิการกิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน สภาผู้แทนราษฎรที่มีนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย เป็นประธานกรรมาธิการฯ พิจารณาคดีนายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยา ได้ เชิญ นายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุดมาชี้แจง หลังสั่งไม่ฟ้องในคดีดังกล่าว
นายเนตร ชี้แจงว่า การสั่งไม่ฟ้องในคดีดังกล่าว เป็นไปตามที่พนักงานสอบสวนรวบรวมมาทั้งหมด แต่ในส่วนของรายละเอียดที่ลงลึก จะต้องไปดูที่เอกสาร พร้อมย้ำว่า การสั่งคดีของตน เป็นไปตามกรอบของสำนวนของพนักงานสอบสวนทั้งสิ้น ไม่มีข้อเท็จจริงนอกสำนวนคดี
ส่วนประเด็นที่นายเนตรมีความเห็นและคำสั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ เนื่องจากตนพิจารณาทั้งสำนวน ทั้งนี้ การสั่งฟ้องครั้งแรก สั่งด้วยความเห็นของ พ.ต.ท.ธนสิทธิ์ แตงจั่น นักวิทยาศาสตร์ (สบ 4) กลุ่มงานตรวจเคมีฟิสิกส์ ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ซึ่งมีความเห็นในบันทึกตรวจความเร็ว 177 กม.ต่อ ชม. หลังจากมีการร้องขอความเป็นธรรม และสอบพยาน เมื่อรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด ความเร็วรถกลายเป็นปัญหาสำคัญ
ต่อมาผู้ให้ความเห็นคนเดิมให้การใหม่โดยคิดวิธีคำนวนความเร็วใหม่ เหลือแค่ 79 กม.ต่อ ชม.ทำให้ไม่เกินที่กฎหมายกำหนด ประกอบกับพยานอื่น ๆ ที่มีในสำนวนที่ให้ความเห็นว่า ความเร็ว 76 และมีพยานที่ได้จากการสอบสวน 2 ปาก ที่ระบุว่า ผู้ตายเปลี่ยนช่องทางเดินรถจากช่องซ้ายสุด ไปขวาสุด เมื่อพยานหลักฐานในสำนวนเป็นเช่นนี้ และความเร็วไม่เกินกฎหมาย จึงถือว่า หลักฐานที่ปรากฎในสำนวน ไม่เพียงพอที่จะฟ้องนายวรยุทธ ในความผิดฐานขับรถชน ตนจึงสั่งไม่ฟ้อง
ส่วนประเด็นเรื่องร้องขอความเป็นธรรม ตามระเบียบของอัยการนั้น ไม่มีกำหนดว่าจะร้องกี่ครั้ง และเป็นสิทธิ์ของผู้ร้อง ทั้งผู้เสียหายและผู้ต้องหาร้องได้ แต่การร้องแต่ละครั้ง ต้องมีความเห็นว่าจะดำเนินการอย่างไร อย่างไรก็ตาม เขามองว่า พยาน 2 ปากเชื่อถือได้