Work-Life Balance ยังมีอยู่จริงไหม? ในยุคที่เราทำงานได้ทุกที่แต่เหนื่อยมากกว่าเดิม Work-Life Balance (WLB) หรือ "สมดุลชีวิตและการทำงาน" เป็นแนวคิดที่พูดกันมานาน โดยมีรากมาจากช่วงยุค 1970s-1980s ที่แรงงานในประเทศพัฒนาแล้วเริ่มเรียกร้องเวลาส่วนตัว หลังจากยุคอุตสาหกรรมที่ทำให้คนทำงานเกินเวลาเพื่อเป้าหมายทางเศรษฐกิจของบริษัท WLB จึงถูกเสนอขึ้นมาเพื่อให้คนมี "ชีวิต" มากกว่าการเป็น "เครื่องมือทำงาน" แต่เมื่อเราก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัล การเปลี่ยนผ่านจากออฟฟิศมาสู่โน้ตบุ๊ก จากโต๊ะทำงานสู่คาเฟ่ หรือจากห้องประชุมมาสู่ Zoom call ทำให้ขอบเขตระหว่าง “ชีวิต” กับ “งาน” เริ่มเบลอ… จนกระทั่งหลายคนอาจเริ่มตั้งคำถามว่า WLB ยังเป็นไปได้อยู่ไหมในโลกที่เราทำงานได้ทุกที่แต่หยุดคิดเรื่องงานไม่ได้เลย ยุคที่ชีวิตผูกติดกับอีเมล และแจ้งเตือนที่ไม่เคยหลับ ใครเคยเป็นบ้าง? อยู่บนเตียงแล้วไถมือถือดูสไลด์ประชุมวันพรุ่งนี้ ทั้งที่บอกตัวเองว่าจะ "พักบ้าง" หรือเปิดมือถือเช็กเมลตอนหยุดสุดสัปดาห์ ทั้งที่เป็นเวลาของครอบครัว นั่นไม่ใช่เพราะคุณไม่มีวินัย แต่เพราะ สภาพแวดล้อมของงานเปลี่ยนไปโดยที่ระบบยังไม่ได้ตามทัน การที่ทำงาน “จากที่ไหนก็ได้” ไม่ได้ทำให้ชีวิตยืดหยุ่นขึ้นเสมอไป กลับกลายเป็นว่า เรากำลังเปิดโอกาสให้ “งานเข้าถึงตัวเราได้ทุกเมื่อ” จนกลายเป็นคนที่ทำงาน 24 ชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว ในหลายองค์กร การที่คน "ตอบเร็ว" หรือ "พร้อมเสมอ" ถูกมองว่าเป็นคนมีความรับผิดชอบ ทั้งที่จริงแล้ว มันคือการทำลายสมดุลชีวิตระยะยาว เมื่อ Work-Life Balance กลายเป็นคำที่ใช้ปลอบใจตัวเองมากกว่าความจริง คำว่า WLB ในวันนี้จึงไม่ใช่เป้าหมายขององค์กร แต่เป็น "แนวคิดในฝัน" ที่หลายคนใช้พูดกับตัวเองว่า “เรายังจัดการได้” ทั้งที่ร่างกายและจิตใจเริ่มส่งสัญญาณว่าไม่ไหวแล้ว สิ่งที่น่าสนใจคือ หลายคนเลือกหันไปใช้ "Work-Life Blending" หรือการผสมผสานชีวิตกับการทำงานแทน เช่น นั่งทำงานพร้อมดูลูก, ประชุมบนรถระหว่างเดินทาง, ตอบเมลขณะทำอาหาร ฯลฯ ซึ่งช่วยให้จัดการเวลาได้ แต่ก็อาจทำให้คุณภาพของ “ชีวิต” และ “งาน” ทั้งสองฝั่งลดลง แล้ว AI จะช่วยให้เรากลับมามี Work-Life Balance ได้จริงหรือ? ในอนาคตที่ใกล้กว่าที่คิด AI อาจเข้ามาช่วยลดภาระงานบางประเภทลง เช่น: ระบบช่วยสรุปรายงานอัตโนมัติ ผู้ช่วยเสมือนที่ตอบอีเมลแทน การจัดตารางประชุมที่สอดคล้องกับเวลาพักจริง ระบบวิเคราะห์ภาระงานล่วงหน้า และแนะนำการกระจายเวลา Chatbot หรือ AI Copilot ที่ช่วยทำงานแทนในช่วงที่เราพัก ฟังดูดีใช่ไหม? แต่คำถามคือ… ถ้า AI ทำงานให้เราได้ เราจะได้พักจริงๆ หรือแค่ทำงานมากขึ้นเพราะมีเครื่องมือช่วย? นี่คือจุดที่เราทุกคนต้อง “ตั้งขอบเขต” ใหม่ให้ตัวเอง ไม่ใช่ปล่อยให้เทคโนโลยีเร่งจังหวะชีวิตจนเราไม่มีโอกาสหยุดหายใจ แล้วเราควรทำอย่างไรกับคำว่า “Work-Life Balance” ต่อไป? คำตอบอาจไม่มีแบบเดียวสำหรับทุกคน แต่สิ่งที่ทุกคนทำได้เหมือนกันคือ ตั้งเวลาพักให้ชัดเจน และปฏิบัติตามให้เป็นนิสัย กล้าบอกขอบเขตกับเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้า เช่น ไม่ตอบงานหลังเวลาเลิก ใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยให้ "มีเวลา" ไม่ใช่เพื่อ "เร่งทุกอย่างให้เร็วขึ้น" แบ่งพื้นที่ในชีวิตออกจากกันให้ชัด เช่น มุมทำงาน กับมุมพัก ฟังร่างกายและใจตัวเองบ้าง ถ้ามันเริ่มเหนื่อย อย่าฝืนเพื่อความเป็นมืออาชีพเพียงอย่างเดียว สรุปส่งท้าย Work-Life Balance อาจไม่ใช่คำที่ง่ายเหมือนตอนฟังในเวิร์กช็อป แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่เราทุกคนควรมีสิทธิ์ได้สัมผัส โลกจะเปลี่ยนเร็วขึ้นอีกแน่นอน เทคโนโลยีจะทำให้เราทำงานเร็วขึ้น ง่ายขึ้น และ "ได้มากขึ้น" แต่คำถามสำคัญคือ... เราจะปล่อยให้ชีวิตไหลตามความเร็วของเทคโนโลยี หรือจะใช้มันให้ช้าพอลง เพื่อกลับมาใช้ชีวิตที่มีคุณภาพอีกครั้ง ความสำเร็จไม่จำเป็นต้องแลกกับความสุขเสมอ ถ้าคุณวางระบบชีวิตดีพอ ความสุขก็สามารถอยู่ในตารางงานของคุณได้เช่นกัน เครดิตภาพปก Christin Hume/unsplash เครดิตภาพ 1 Brett Jordan/unsplash เครดิตภาพ 2 SEO Galaxy/unsplash เครดิตภาพ 3 Emiliano Vittoriosi/unsplash เครดิตภาพ 4 Brett Jordan/unsplash เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !