หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าที่เราเอ่ยถึงกันอยู่ทุกวันนี้ คือพระพุทธเจ้าโคดม และยังมีพระพุทธเจ้าองค์ก่อนหน้านี้เมื่อหลายแสนกัปได้เผยแผ่ธรรมมาก่อนด้วย ซึ่งทำให้เราได้เรียนรู้โดยมีแหล่งอ้างอิงจากพระไตรปิฎก เราสามารถรับรองได้เลยว่าเนื้อหานี้เป็นความจริงจากพระไตรปิฎก ณัฐพบธรรม ธนันท์เมธากรณ์ ผู้เขียนหนังสือการันตีโดยผลงานหนังสือธรรมะขายดีติดอันดับ จะมาเรียบเรียงเนื้อหาที่น่าสนใจแก่การศึกษาที่น้อยคนจะเข้าถึง เพราะต้องสรุปเรียบเรียงจากเนื้อหาหลายส่วนเข้าด้วยกัน ความรู้ความประทับใจในมุมมองครีเอเตอร์ 1.พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมี 10 อย่าง อย่างละ 3 ระดับ ได้แก่ *การบำเพ็ญบารมี 10 อย่าง ในระดับธรรมดาเหมือนคนทั่วไป (บารมี 10) *การบำเพ็ญบารมี 10 อย่าง ในระดับเข้มข้นกว่าคนทั่วไป (อุปบารมี 10) *การบำเพ็ญบารมี 10 อย่าง ในระดับที่คนทั่วไปทำไม่ได้ (ปรมัตถบารมี 10) 2.พุทธพยากรณ์ โดยทั่วไปแล้วพุทธพยากรณ์หมายถึง การพยากรณ์โดยพระพุทธเจ้าว่า ในอนาคตจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น แต่สำหรับคําว่า “ได้รับพุทธพยากรณ์” ที่กล่าวถึงใน เนื้อหาก่อนหน้านี้หมายถึง การที่พระโพธิสัตว์ได้รับการพยากรณ์โดยพระพุทธเจ้า องค์ใดองค์หนึ่งว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าเมื่อใด ซึ่งการพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าไม่ได้มีความหมายเหมือนการพยากรณ์แบบที่เราพบเห็นในปัจจุบัน ที่หมายถึง การคาดการณ์ หรือการทํานายที่ยังมีโอกาสจะผิดเพี้ยนไปจากที่พยากรณ์ 3.แต่การพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าเป็นการนําเอาเรื่องจริงในอนาคตที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน มาบอกกล่าวให้ผู้อื่นทราบ กล่าวแบบสรุปได้ว่าพุทธพยากรณ์ก็คือการที่พระพุทธเจ้าอาศัยพระญาณของพระองค์มองดูอนาคตที่จะเกิดขึ้นจริง แล้วนําสิ่งดังกล่าวมาบอกเล่าโดยอนาคตดังกล่าวจะเกิดขึ้นจากการกระทําของพระโพธิสัตว์ ไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะการพยากรณ์ 4.อย่างไรก็ตาม การได้รับพุทธพยากรณ์ก็ยังไม่ได้หมายความว่าพระโพธิสัตว์ องค์นั้นใกล้จะได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แต่หมายความว่าพระโพธิสัตว์องค์นั้นได้ สั่งสมบุญมามากพอ และมีความมุ่งมั่นและความตั้งใจอยากเป็นพระพุทธเจ้าที่ฝังลึก ลงไปในจิตวิญญาณจนมั่นคง ไม่มีวันสั่นคลอนและไม่มีวันเปลี่ยนใจ โดยความมุ่งมั่นนั้น มีมากพอที่จะเป็นแรงผลักดันให้พระโพธิสัตว์เพียรสั่งสมบารมีต่อไปจนถึงวันที่บารมี เต็มเปี่ยมอย่างแน่นอน โดยไม่ล้มเลิกไปกลางคัน ไม่ว่าจะยาวนานอีกแค่ไหนก็ตาม 5.บารมี 10 ประการเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า ทานบารมี เป็นสิ่งแรกที่ต้องทำ โดยพระโพธิสัตว์จะสละทานไม่ให้เหลือ เหมือนคว่ำหม้อที่เต็มไปด้วยน้ํา ให้น้ำไหลออกจนหมด ไม่ขังอยู่ในหม้อนั้นเลย ศีลบารมี เป็นอย่างที่ 2 พระโพธิสัตว์จะรักษาศีลโดยไม่อาลัยชีวิต เนกขัมมบารมี เป็นอย่างที่ 3 พระโพธิสัตว์จะมุ่งออกบวช ปัญญาบารมี เป็นอย่างที่ 4 พระโพธิสัตว์จะสอบถามคนมีปัญญาว่าอะไรได้บุญอะไรได้บาป อะไรควรทําอะไรไม่ควร โดยไม่เว้นว่าเป็นคนชั้นต่ํา กลาง หรือสูง วิริยบารมี เป็นอย่างที่ 5 พระโพธิสัตว์จะประคองความเพียรในการสั่งสมบุญให้มั่นคงในทุกภพชาติโดยไม่ท้อถอย ขันติบารมี เป็นอย่างที่ 6 พระโพธิสัตว์จะอดทนต่ออุปสรรคและ ค่าดูหมิ่นทั้งปวง สัจจบารมี เป็นอย่างที่ 7 พระโพธิสัตว์จะมีใจแน่วแน่ในสัจจะที่ตั้งใจ ว่าจะทํา อธิษฐานบารมี เป็นอย่างที่ 8 พระโพธิสัตว์ตั้งมั่นในเรื่องไหนแล้วจะ ไม่คลอนแคลนในความตั้งมั่นนั้น (ไม่เปลี่ยนแปลง) เมตตาบารมี เป็นอย่างที่ 9 พระโพธิสัตว์จะเมตตากับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือชั่ว อุเบกขาบารมี เป็นอย่างที่ 10 พระโพธิสัตว์จะเว้นจากความโกรธและ ความยินดี วางจิตเป็นกลาง ไม่ว่าประสบทุกข์หรือสุข 6.ปัจจัย 5 อย่างที่พระพุทธเจ้าจุติได้ คือ อายุขัยมนุษย์ต้องไม่เกิน 100,000 ปี เพราะถ้าอายุขัยมากเกิน คนจะไม่ค่อยเห็นการเกิดแก่เจ็บตาย จึงไม่ค่อยเข้าใจความทุกข์ อายุขัยมนุษย์จะต้องไม่น้อยกว่า 100 ปี เพราะหากน้อยกว่านั้นมนุษย์จะมีกิเลสมาก สอนได้ยาก (สมัยพระพุทธเจ้าโคดม มนุษย์อายุขัยเฉลี่ยเท่ากับ 100 ปีพอดี) พระพุทธเจ้าทุกองค์จะตรัสรู้ในชมพูทวีปเท่านั้นเฉพาะโลกใบนี้ไม่ตรัสรู้ที่ดาวดวงอื่น พระพุทธเจ้าทุกองค์จะตรัสรู้ในประเทศที่เหมาะสม คือ พระพุทธเจ้าทุกองค์จะประสูติในตระกูลที่สูงที่สุดของยุคนั้น ซึ่งก็คือตระกูลกษัตริย์ หรือไม่ก็ตระกูลพราหมณ์ พระพุทธเจ้าทุกองค์ต้องมีพระมารดาที่บำเพ็ญบารมีมา 100,000 กัปเพื่อเป็นพุทธมารดา โดยต้องเป็นผู้ที่รักษาศีล 5 อย่างเคร่งครัดตั้งแต่เกิด และต้องเหลืออายุขัยอีก 10 เดือน 7 วัน เพราะอีกเดือนพระโพธิสัตว์จะต้องประสูติ และหลังจากพระองค์พระสูติได้ 7 วัน พระพุทธมารดาจะสิ้นพระชนม์ 7.เมื่อพูดถึงการตรัสรู้ คนส่วนหนึ่งก็จะเข้าใจว่าเป็นเพียงการหลุดพ้นจากกิเลสตัณหาและการเวียนว่ายตายเกิด แต่จริงๆ แล้ว การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ามีความสำคัญมากกว่านั้น กล่าวได้ว่า การตรัสรู้คือทุกสิ่งทุกอย่างของศาสนาพุทธเลยทีเดียว เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะในตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระองค์ทรงได้ความรู้อันยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า สัพพัญญุตญาณ เป็นญาณที่ไม่มีสิ่งใดขวางกั้น ทำให้พระองค์ทรงสามารถรู้ทุกอย่างทั้งในอดีต ในปัจจุบัน และในอนาคต เช่น 7.1. รู้ว่าอะไรเป็นไปได้จริง อะไรที่เป็นไปไม่ได้ 7.2. รู้ว่ากระทำกรรมแบบไหนจะได้รับผลของกรรมอย่างไร 7.3.รู้ว่าทำอะไรจะได้ไปเกิดในภพภูมิไหน 7.4. รู้ว่าใครมีอินทรีย์แก่กล้าแค่ไหน (พร้อมจะบรรลุธรรมหรือยังห่างไกล) 7.5. รู้ว่าใครได้ฌาน สมาธิ สมาบัติ ในระดับไหน และต้องสอนเรื่องใดถึงจะก้าวหน้าหรือบรรลุธรรม 7.6.รู้ว่าใครมีพื้นฐานความคิดความเชื่ออย่างไร และควรแสดงธรรมเกี่ยวกับเรื่องใดจึงจะทำให้เกิดศรัทธาและบรรลุธรรม 7.7. ระลึกชาติได้ไม่จำกัดจำนวนชาติ และรู้ว่าในชาติดังกล่าวมีชื่อว่าอะไร มีหน้าตา ผิวพรรณชาติตระกูลอย่างไร มีสุขทุกข์อย่างไร ตายจากชาตินั้นแล้วไปเกิดเป็นอะไร 7.8. รู้ว่าหมู่สัตว์อื่นเมื่อตายแล้วจะไปเกิดเป็นอะไร มีรูปร่างหน้าตาชาติตระกูลแบบไหน สุขทุกข์อย่างไร และไปเกิดในสภาพนั้นเพราะกรรมใด 7.8.หลังจากที่ตรัสรู้แล้วพระพุทธเจ้าทรงตรวจดูสรรพสัตว์ทั้งหมดในจักรวาลก็ทรงพบว่าไม่มีใครมีศีล สมาธิ ปัญญาและบริสุทธิ์จากกิเลสตัณหามากกว่าพระองค์ และหากพระองค์แสดงความเคารพใครหรือแม้แต่ลุกขึ้นต้อนรับใคร หัวของคนนั้นก็จะขาดทันที 7.9. รู้แจ้งในอริยสัจ 4 รู้แจ้งถึงหนทางพ้นทุกข์และสามารถทําให้พระองค์ หมดสิ้นกิเลสตัณหาได้ด้วยตัวพระองค์เอง และรู้แจ้งในวิธีช่วยให้ผู้อื่นหมดสิ้นกิเลสตัณหา 7.10. รู้แจ้งเกี่ยวกับการกําเนิดและความเป็นไปของดวงดาวและจักรวาล รวมไปถึงปรากฏการณ์ธรรมชาติต่าง ๆ เช่น ฤดูกาล แผ่นดินไหว 7.11. รู้แจ้งเกี่ยวกับความเป็นไปของชีวิต การสืบพันธุ์ พันธุกรรม ร่างกาย และ กฎธรรมชาติที่ครอบคลุมความเป็นไปของสิ่งมีชีวิตสําเร็จ 7.12. รู้แจ้งเกี่ยวกับเรื่องการทํางานของจิต องค์ประกอบของจิต 7.13. รู้แจ้งว่าทําแบบไหนชีวิตจะมีความสุข ทําแบบไหนชีวิตจะประสบความสำเร็จ เรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นไม่ใช่สิ่งที่พระองค์ทรงกําหนดกฎเกณฑ์หรือคิด เอาเองว่าดี ถูกต้องเหมาะสม แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว เป็นกฎธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ เป็นความจริงของทุกจักรวาล ซึ่งกฎธรรมชาติและความเป็นจริงของจักรวาลเหล่านี้ จะคงอยู่เช่นนี้และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป ไม่ว่าจะมีพระพุทธเจ้าหรือไม่ และไม่ว่า เราจะนับถือศาสนาไหนหรือไม่นับถือศาสนาไหน เราก็จะต้องอยู่ภายใต้กฎเหล่านี้ โดยเราจะมีโอกาสได้เข้าใจความเป็นจริงดังกล่าวก็เฉพาะในยุคที่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้จนพระองค์ทรงรู้แจ้งทุกอย่าง แล้วนําสิ่งที่พระองค์ทรงรู้มาสั่งสอนเท่านั้น สรุปว่า ไม่มีเรื่องไหน (ทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต) ในจักรวาลที่พระองค์ ไม่รู้ ไม่มีคําถามไหนที่พระองค์ไม่รู้คําตอบที่แท้จริง และพระญาณของพระองค์นั้น มีมากมายจนไม่สามารถประมาณได้ว่ามีมากเท่าไรหรือรู้มากแค่ไหน 8.พระบารมีของพระพุทธเจ้านั้นมากจนโลกและจักรวาลไม่สามารถรองรับพระบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมกันถึง 2 พระองค์ได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นเพียงแค่ครั้งละหนึ่งพระองค์เท่านั้น 9.กิจ 5 อย่างของพระพุทธเจ้า เวลาเช้าตรู่ พระองค์เสด็จไปบิณฑบาตตามบ้านต่าง ๆ ซึ่งบางครั้งก็จะเสด็จไปตามปกติ แต่บางครั้งเสด็จไปแบบมีปาฏิหาริย์คือ ขณะที่พระองค์เสด็จออกจากวัดจะมีลมพัดเบา ๆ ราวกับกำลังทำความสะอาดถนนหนทางที่พระองค์จะเสด็จผ่านให้เรียบโล่ง พร้อมกันนั้นกระแสลมจะพัดพาเอาดอกไม้มารองรับให้พระบาทของพระองค์ได้สัมผัสความนุ่มสบาย ในขณะที่พระบาทเบื้องขวาประทับลงบริเวณธรณีประตูวัด พระฉัพพรรณรังสีก็จะแผ่ออกจากพระพุทธสรีระ ส่องแสงแวบวาบดั่งแสงเลื่อมพรายแห่งทอง ในตอนนั้นบรรดาสัตว์ทั้งหลาย เช่น ช้าง ม้า นก ซึ่งอยู่ในบริเวณนั้นก็จะพากันส่งเสียงที่ไพเราะ ทำให้คนทั้งหลายทราบได้ว่า วันนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในย่านนี้ ซึ่งชาวบ้านบางคนก็จะนิมนต์พระองค์เพื่อถวายภัตตาหาร ในตอนนั้นพระองค์จะใช้พระญาณตรวจดูว่าใครมีจิตเป็นอย่างไร ควรแสดงบทธรรมแบบไหนถึงจะเหมาะสม และทำให้เขากลายเป็นผู้ที่ยึดมั่นในพระรัตนตรัย หรือยึดมั่นในศีล 5 ไปตลอดจนบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เวลาบ่าย-เย็น พระองค์ทรงแสดงธรรมให้ชาวบ้านที่สนใจฟังธรรม เวลาค่ำ พระองค์ประทานโอวาทแก่หมู่สงฆ์ หลังจากนั้นจะมีพระสาวกบางรูปสอบถามข้อสงสัยต่างๆ พระองค์ก็จะประทานกรรมฐานที่เหมาะแก่จริตของพระรูปนั้นเพื่อไปฝึกฝนให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น เวลาเที่ยงคืน พระองค์ทรงแสดงธรรมและตอบปัญหาให้กับเหล่าเทวดา เวลาใกล้รุ่ง พระองค์ใช้ทิพพจักขุตรวจดูว่า ในวันนี้มีใครที่ได้สั่งสมบุญเอาไว้และเหมาะสมที่พระองค์จะเสด็จไปโปรด หรือมีใครเป็นผู้ที่สั่งสมบุญเอาไว้จนมีอินทรีย์แก่กล้าพอที่จะบรรลุธรรม เพื่อที่พระองค์จะได้เสด็จไปโปรดในตอนเช้าตรู่ 10.อายุขัยของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าแต่ละองค์มีอายุขัยและสถานที่ปรินิพพานที่แตกต่างกัน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วพระพุทธเจ้าจะมีอายุขัยที่ใกล้เคียงกับอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น อย่างไรก็ตาม พระพุทธเจ้าทุกองค์สามารถเจริญอิทธิบาท 4 แล้วทำให้พระองค์มีพระชนมายุยาวนานเป็นกัปได้หากพระองค์ต้องการ แต่ในความเป็นจริงก็ไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์ใดทำเช่นนั้น ซึ่งในพระไตรปิฎกไม่ได้อธิบายเหตุผลเอาไว้อย่างชัดเจน แต่ถ้าจะให้วิเคราะห์ คิดว่าเป็นเพราะพระองค์ไม่มีกิเลสตัณหาใด ๆ แล้ว จึงไม่มีความอยากใดๆ เมื่อถึงกำหนดเวลาที่เหมาะสม พระองค์ก็จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน เช่น พระพุทธเจ้าโคดมได้เคยตรัสเหตุผลเอาไว้ก่อนที่จะปรินิพพานว่า ในขณะนั้นพุทธบริษัท 4 อันประกอบไปด้วยภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา ต่างก็มีความเข้มแข็งและมั่นคงมากพอที่จะสืบทอดศาสนาต่อไปแล้ว พระองค์จึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน 11.หลายคนอาจมีความอยากรู้ปนสงสัยว่าเหตุใดพระพุทธเจ้าจึงไม่เจริญอิทธิบาท ๔ เพราะหากพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์จนถึงวันนี้ เราอาจจะบรรลุธรรมไปแล้ว (ส่วนตัวก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน) แต่ข้อสงสัยดังกล่าวมันเกิดจากความรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้บรรลุธรรมมากกว่าจะตั้งอยู่บนฐานของความเป็นจริง เพราะถ้าหากเรามีบุญมากพอที่จะบรรลุธรรม เราก็คงเกิดในยุคพุทธกาลและบรรลุธรรมไปแล้ว หรือแม้จะเกิดในยุคนี้เราก็สามารถบรรลุธรรมได้ด้วยการทำตามสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน แต่เหตุที่เรายังไม่บรรลุธรรม ก็เป็นเพราะเรายังสั่งสมบุญไม่มากพอและไม่ยาวนานพอจะบรรลุธรรมต่างหาก ซึ่งสำหรับคนที่ยังมีบุญไม่มากพอ ไม่ว่าจะได้เกิดในยุคนี้หรือในยุคพุทธกาลอย่างไรก็คงไม่บรรลุธรรม ฉะนั้นเราจึงไม่ควรคิดมากในเรื่องเหล่านี้ แล้วมุ่งมั่นเดินตามมรรค 8 เพื่อให้บรรลุธรรมโดยเร็วจะดีกว่า 12.พระพุทธเจ้าศรีอาริยเมตไตรย นอกจากพระพุทธเจ้าในอดีตทั้งหมด 28 พระองค์ ในพระไตรปิฎกยังได้กล่าวถึงพระพุทธเจ้าในอนาคตเอาไว้ด้วย ดังที่กล่าวมาแล้วในตอนต้น โดยระบุว่า นับจากนี้ไป ทุก ๆ 100 ปี อายุขัยของมนุษย์จะลดลง 1 ปี จากปัจจุบันอายุขัยเฉลี่ย 75 ปี สุดท้ายก็จะเหลือ 10 ปี (อีกประมาณ 6,500 ปี) ในตอนนั้นจะเป็นยุคที่มนุษย์ไร้ซึ่งศีลธรรม เด็กอายุ 5 ขวบก็ตั้งท้อง มีเพศสัมพันธ์กันไม่เลือกหน้าและจนถึงวันหนึ่ง มนุษย์ก็จะฆ่าทุกคนที่พบเห็น หลังจากฆ่ากันได้ 7 วัน มนุษย์จะคิดได้แล้วลดละเลิกการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อายุขัยก็จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยทุก ๆ 100 ปีอายุจะยืนขึ้น 1 ปี และจะอายุยืนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนอายุขัยเฉลี่ย 40,000 ปีอีกครั้ง (จะใช้ระยะเวลาประมาณ 4 ล้านปี) ตอนนั้นเอง พระพุทธเจ้าองค์ถัดไปก็คือพระศรีอริยเมตไตรยจะมาประสูติและตรัสรู้ 13.ในยุคที่พระพุทธเจ้าศรีอาริยเมตไตรยมาตรัสรู้ ตอนนั้นความทุกข์ของมนุษย์ เรื่องเจ็บป่วยจะมีเพียง 3 อย่าง คือ ความหิว ความอิ่ม และความแก่ ในตอนนั้นโลกนี้จะมั่งคั่งและเจริญรุ่งเรือง มีผู้คนมากมาย แทบไม่มีพื้นที่ใดไม่มีคนอยู่ แต่ทุกคนก็มีอาหารการกินที่สมบูรณ์ กล่าวได้ว่าผู้คนในยุคนั้น แม้ว่าจะมีคนจำนวนมาก แต่ก็อยู่กันอย่างสุขสบายเป็นอย่างมาก 14.ถ้าเราลองใช้ปัญญาของเราพิจารณาว่า พระพุทธเจ้าโคดมนั้นได้ตรัสรู้เรียบร้อยแล้ว หากจะเปรียบเป็นผลไม้ก็คือผลไม้ที่สุกแล้วและทานได้เลยหรือเปรียบกับการศึกษาก็เหมือนผู้ที่จบปริญญาเอก ส่วนพระศรีอาริยเมตไตรยนั้น ปัจจุบันท่านยังไม่ได้ตรัสรู้ เปรียบเหมือนผลไม้ที่ยังไม่สุกหรือผู้ที่ยังไม่จบปริญญาเอก ถ้าคำสั่งสอนของท่านปรากฏขึ้นจริงในปัจจุบันก็ย่อมไม่มีทางเทียบได้กับธรรมะที่พระพุทธเจ้าโคดมทรงสอน จริงอยู่ เรื่องราวภายในเล่มมีสิ่งอัศจรรย์เหนือธรรมดาจนทำให้เราสงสัยถึงการมีอยู่จริงของพระพุทธเจ้า แต่หากเรามองอีกมุมหนึ่ง หากสิ่งอัศจรรย์ที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าตามพระไตรปิฎกเป็นจริง ทัศนคติ ความเชื่อ ความศรัทธาของเราที่มีต่อพระพุทธเจ้าจะเปลี่ยนไปอย่างไร และเราควรดำเนินชีวิตอย่างไรให้เป็นไปตามคำสอนของพระองค์ เครดิตภาพ ภาพปก โดย Min An จาก pexels.com ภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียน ภาพที่ 3 โดย David Bartus จาก pexels.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจ รีวิวหนังสือ ตำนานพระพุทธเจ้า รีวิวหนังสือ บรรลุธรรมได้ ไม่ติดรูปแบบ รีวิวหนังสือ HOW TO DIE ความตายออกแบบได้ รีวิวหนังสือ บุญใหญ่พลิกชีวิต เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !