รีเซต

'เรืองไกร' ร้อง ป.ป.ช.ดำเนินคดี กกต. ตาม ม.157 เหตุไต่สวนโดยไม่ได้ความ ปมใบส้มเลือกตั้งเชียงใหม่

'เรืองไกร' ร้อง ป.ป.ช.ดำเนินคดี กกต. ตาม ม.157 เหตุไต่สวนโดยไม่ได้ความ ปมใบส้มเลือกตั้งเชียงใหม่
มติชน
1 พฤศจิกายน 2563 ( 11:54 )
44
'เรืองไกร' ร้อง ป.ป.ช.ดำเนินคดี กกต. ตาม ม.157 เหตุไต่สวนโดยไม่ได้ความ ปมใบส้มเลือกตั้งเชียงใหม่

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กล่าวว่า ตามที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งได้มีคำพิพากษาที่ 4209/2563 ซึ่ง กกต.เป็นผู้ร้อง และมีนายสุรพล เกียรติไชยากร อดีตผู้สมัครส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย (พท.) เป็นผู้คัดค้าน โดยศาลพิพากษาไว้ตอนหนึ่งในหน้า 34 ว่า “…ข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนยังฟังไม่ได้ว่า ผู้คัดค้านถวายเงินจำนวน 2,000 บาท แก่พระครูถาวรวรคุณ เพื่อเป็นการสื่อสารให้ชาวบ้านเข้าใจว่า ผู้คัดค้านได้บริจาคเงินสมทบให้แก่กองผ้าป่าสามัคคีของหมู่บ้าน เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเอง ด้วยวิธีการให้เงินไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมแก่ชุมชน อันจะเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (2) ตามคำร้อง และเมื่อฟังว่าผู้คัดค้านไม่ได้กระทำผิดตามคำร้องแล้ว ผู้คัดค้านจึงไม่จำต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายสำหรับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ เขตเลือกตั้งที่ 8 ตามคำร้อง พิพากษาให้ยกคำร้อง”

นายเรืองไกรกล่าวว่า ในคำพิพากษาหน้า 29 ถึง 30 ศาลฎีกา ระบุไว้บางส่วน ดังนี้ “เห็นว่า ผู้ร้องกล่าวอ้างในคำร้องขอให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้านว่า ผู้คัดค้านกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (2) ที่บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่น … ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้ (2) ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือเพื่อประโยชน์อื่นใดไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมแก่ชุมชน…” และในคำพิพากษาหน้า 30 ตอนท้าย ระบุไว้บางส่วนว่า “… และต้องได้ความว่า ผู้คัดค้านกระทำการดังกล่าวเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้ผู้คัดค้านด้วย…” นอกจากนี้ ในคำพิพากษา หน้า 31 ยังระบุไว้บางส่วนว่า “… นอกจากนี้ตามทางไต่สวนไม่ปรากฏข้อเท็จจริงทำให้ผู้คัดค้านหรือบุคคลใดเชื่อได้ว่า …”

นายเรืองไกรกล่าวว่า การที่ศาลฎีกายกคำร้องดังกล่าวเห็นได้ว่ามาจาก กกต.ไต่สวนได้ความโดยไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 73 วรรคหนึ่ง (2) เรื่องนี้จึงมีประเด็นตามมาว่า การที่ กกต.ไต่สวนโดยไม่ได้ความตามที่กฎหมายบัญญัติ ทำให้เห็นได้ว่า กกต.อาจมีพฤติการณ์จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจอำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 (1) กรณีดังกล่าว จึงยังไม่จบ เพราะเมื่อศาลฎีกาพิพากษายกคำร้องด้วยเหตุ กกต.wต่สวนได้ความโดยไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามกฎหมาย กกต.จะอ้างว่าไม่รู้กฎหมาย มิได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องร้องไปที่ ป.ป.ช. ให้รีบไต่สวน กกต.ว่า จะมีความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 157 ประกอบรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 (1) กับ พ.ร.ป.กกต. 2561 มาตรา 25 และมาตรา 69 หรือไม่ ทั้งนี้ ในวันที่ 2 พฤศจิกายนนี้ ตนจะส่งหนังสือร้องนี้ไปทางไปรษณีย์

ข่าวที่เกี่ยวข้อง