KLINIQ จับทุกเซกเมนต์ รุกฐานวัยรุ่น-ผุดสาขา

#KLINIQ #ทันหุ้น – KLINIQ เดินหน้าเจาะตลาดครบทุกเซ็กเมนต์ พุ่งเป้ากลุ่มวัยรุ่นมากขึ้น แย้มรับผลทางอ้อมจากมาตรการ “คนละครึ่งพลัส” กางแผนลงทุนปีหน้า รุกขยายสาขาต่อเนื่อง ปีละ10 แห่ง ยันฐานการเงินแกร่ง ลูกค้าเหนียวแน่น เชื่อดันยอดขายตามเป้าฉลุย
นายวีระศักดิ์ สินทรัพย์ไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ คลินิกเวชกรรมด้านผิวหนังความงาม ศัลยกรรมตกแต่งและการดูแลป้องกันฟื้นฟูสุขภาพ เปิดเผยกับ “ทันหุ้น” ว่า บริษัทจะเน้นการเติบโตจากภายในประเทศเป็นหลัก ซึ่งสัดส่วนลูกค้าต่างชาติของบริษัทอาจไม่ได้เยอะมากเมื่อเทียบกับผู้เล่นรายอื่น ทำให้มีข้อได้เปรียบ คือ จะไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากการขึ้นลงของจำนวนนักท่องเที่ยว ดังนั้นด้วยสภาพตลาดโดยรวมไม่ได้โตมาก บริษัทจึงจำเป็นต้องเน้นไปที่การแย่งส่วนแบ่งตลาด (Market Share) จากผู้เล่นรายอื่น
** จับทุกเซ็กเมนต์
ขณะที่ปัจจุบันบริษัทถือว่าเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดความสวยความงาม ทำให้มี Brand Awareness สูง และยังคงเดินหน้าทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันกลุ่มลูกค้าหลักยังคงมีกำลังซื้อ โดยมีแบรนด์หลัก คือ THE KLINIQUE ที่จับกลุ่มลูกค้าระดับบน และแบรนด์ L.A.B.X ที่จับกลุ่มลูกค้าระดับกลาง แต่บริษัทยังคงเดินหน้าพยายามจะจับกลุ่มให้ครบทุกเซ็กเมนต์โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นให้มากขึ้น
ทั้งนี้บริษัทยังได้รับจะเป็นผลทางอ้อมจากมาตรการกระตุ้นของรัฐบาลชุดใหม่ ยกตัวอย่างเช่น โครงการ “คนละครึ่งพลัส” ซึ่งมาตรการเหล่านี้ช่วยลดค่าใช้จ่ายส่วนอื่นของผู้บริโภค และเมื่อผู้บริโภคประหยัดค่าใช้จ่ายอื่นได้ อาจจะหันมาใช้จ่ายกับเรื่องความสวยความงามได้มากขึ้น
อย่างไรก็ดีกลยุทธ์การเติบโตของบริษัท ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างจัดทำแผนการลงทุนสำหรับปีหน้า คาดว่าจะยังคงเน้นไปที่การขยายสาขาอย่างต่อเนื่องตามแผนเดิมที่วางไว้คือประมาณ 10 สาขาต่อปี เนื่องจากบริษัทมีฐานสาขาจำนวนมากอยู่แล้ว ทำให้มีผลกระทบในแง่ต้นทุนไม่มากเท่าแต่ก่อน
** งบลงทุนต่อสาขา
ประกอบกับบริษัทจะเลือกเปิดทำเล, โลเคชั่น, และแบรนด์อย่างระมัดระวังมากขึ้น โดยงบลงทุนเฉลี่ยต่อสาขาสำหรับแบรนด์ THE KLINIQUE อยู่ที่ประมาณ 20-30 ล้านบาทต่อสาขา ส่วนแบรนด์ L.A.B.X ใช้งบลงทุนเฉลี่ยต่อสาขา อยู่ที่ประมาณ 15-20 ล้านบาทต่อสาขา แล้วแต่ขนาดพื้นที่
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมความสวยความงามในช่วงครึ่งปีหลังยังดูไม่ค่อยดี เนื่องจากข้อมูลที่ได้รับจากบริษัทเครื่องมือแพทย์และบริษัทยายังมีแนวโน้มไม่ค่อยดี ซึ่งได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจทำให้บริษัทรายเล็กๆ รวมถึงแบรนด์ที่มีจำนวนสาขาไม่เยอะมาก ได้รับผลกระทบค่อนข้างเยอะและมีการปิดตัวไปตัวไปหลายบริษัท
แต่ทั้งนี้บริษัทมีความเชื่อมั่นว่ายังมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งอยู่โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 บริษัทมีจำนวนสินทรัพย์รวม 3,302.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.9% จากสิ้นปี 2567 โดยสาเหตุที่มีเงินสดเพิ่มขึ้นเป็นผลจากการเพิ่มทุนของบริษัทย่อยโดยผู้ถือหุ้นส่วนน้อย รวมถึงมีการสำรองยาและเวชภัณฑ์เพิ่มขึ้น อีกทั้งบริษัทยังมีฐานลูกค้าที่ยังแข็งแกร่งอยู่และเชื่อมั่นว่าจะสามารถทำยอดขายได้ตามที่วางแผนไว้ได้
นอกจากนี้แล้วแผนการลงทุนระยะยาว บริษัทได้มีการมองหาธุรกิจอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย แต่จะไม่กระโดดข้ามไปธุรกิจที่ไกลตัวมากนัก ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างศึกษาตลาด เช่น ธุรกิจบริการ รวมถึงธุรกิจสุขภาพ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
