สเปนสร้างเครื่องเช็กผลไม้ ตรวจสอบความสุกด้วย “ใบ” ไม่ต้องเด็ดผลก็รู้ว่าสุกไหม !!

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโรวิรา อี เวอร์จิลี (Universitat Rovira i Virgili) ประเทศสเปน พัฒนาเทคนิคใหม่ เช็กความสุกของผลไม้ด้วยการสแกนใบไม้ หวังแก้ปัญหาสูญเสียผลผลิต เพราะต้องเด็ดผลไม้ออกมาตรวจสอบโดยไม่จำเป็น

โดยนักวิจัยได้ทำการทดสอบเทคนิคใหม่นี้ ยาวนานกว่า 11 สัปดาห์ กับต้นเนคทารีนจำนวน 12 ต้น เพื่อประเมินความแม่นยำและความเป็นไปได้ในการนำไปใช้งาน โดยพบว่าใบไม้ที่อยู่ใกล้กับผลไม้สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับระดับความสุกของผลไม้ได้

เทคโนโลยีสแกนใบไม้ทำงานอย่างไร ?

เทคโนโลยีที่ใช้ในงานวิจัยประกอบด้วยเครื่องวัดการสะท้อนและดูดกลืนแสงสเปกโตรมิเตอร์ 2 ชนิด สำหรับสแกนแสงในช่วงใกล้อินฟราเรด (Near-Infrared) กับกลางอินฟราเรด (Mid-Infrared) โดยทางนักวิจัยจะสแกนทั้งด้านบนและด้านล่างของใบไม้ที่อยู่ติดกับผลไม้ หลังจากนั้นจึงวิเคราะห์รูปแบบการดูดกลืนและสะท้อนแสงของใบไม้ ซึ่งเปรียบเสมือน “ลายนิ้วมือทางสเปกตรัม” ที่สามารถบอกการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีของพืชได้

โดยการเปลี่ยนแปลงทางสเปกตรัมนี้ จะเห็นทั้งกระบวนการการสังเคราะห์แสงและการกระจายของสารอาหาร ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาและกระบวนการเผาผลาญ ซึ่งจะมีความเชื่อมโยงกันระหว่างใบไม้และผลไม้

ผลการทดสอบพบว่าเทคนิคนี้มีความแม่นยำสูงในการบ่งชี้น้ำหนักของผลไม้ และความแน่นของตัวผล ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญของความสุก ขณะเดียวกัน ยังสามารถตรวจสอบไปถึงปริมาณน้ำตาล ค่า pH หรือความเป็นกรดเป็นด่างได้ด้วย ซึ่งทีมนักวิจัยยอมรับว่า ปริมาณน้ำตาลและค่า pH อาจจะยังไม่แม่นยำมากนัก ต้องพัฒนาต่อไป 

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยดังกล่าว ได้ทำการทดสอบกับต้นเทคทารีนเท่านั้น ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับลูกพีช ปลูกมากในแถบยุโรป ตุรกี และสหรัฐฯ มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง ยังไม่ได้ทำการทดสอบกับพืชหรือผลไม้ชนิดอื่น ๆ ที่ปลูกนอกเหนือจากพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งมีปัจจัยทางแสง ดิน น้ำ อากาศ ต่างกันออกไป จึงยังสรุปไม่ได้ว่า เทคนิคนี้จะใช้ได้กับผลไม้ชนิดอื่นได้ 

ทั้งนี้ทางนักวิจัยคาดหวังว่าในอนาคต เทคนิคนี้จะถูกนำไปใช้จริงในภาคสนามผ่านเครื่องสแกนแบบพกพา ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรสามารถประเมินความสุกของผลผลิตทั้งสวนได้ และอาจถึงขั้นเลือกเก็บเฉพาะผลที่สุกแล้ว และปล่อยให้ผลที่ยังไม่สุกได้เติบโตต่อไป

งานวิจัยนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร ACS Agricultural Science & Technology : https://pubs.acs.org/doi/full/10.1021/acsagscitech.4c00760