เราคงเคยได้ยินวลีที่ว่าสู้ชีวิตแล้ว แต่ชีวิตสู้กลับ หมายความว่าเราพยายามอย่างหนักที่จะทำให้ชีวิตออกมาดี แต่ปรากฏว่าชีวิตมีเหตุให้ทำงานที่ตั้งใจไว้ไม่สำเร็จหรือผลลัพธ์ออกมาไม่สมบูรณ์อย่างที่หวัง รวมไปถึงเรื่องส่วนตัวอย่างความสัมพันธ์กับคนรอบข้างไม่ราบรื่น การเงินที่ยังไม่พอใช้จนน่าเป็นกังวล แล้วชีวิตก็สู้กลับโดยการซ้ำเติมให้เรามีวิถีชีวิตที่ยากลำบากมากขึ้นไปอีก เช่น ตกงานเพราะการระบาดของโควิด สภาวะจิตใจของคนรอบข้างไม่มั่นคง อารมณ์เสียง่าย เราเองก็เริ่มเป็นเหมือนกันจนทำให้การสร้างความสัมพันธ์ปั่นป่วน เป็นต้น ซึ่งแต่ละคนจะเจอเหตุการณ์เฉพาะตัวกันคนละแบบตามบริบทและสถานะของคนคนนั้น หนังสือเล่มนี้กำเนิดขึ้นจากนักเขียนทั้ง 13 คน จะมาถ่ายทอดว่าเราสู้ชีวิตแล้ว แต่ชีวิตสู้กลับ แบบนี้จะทำอะไรได้บ้าง โดยทีมผู้เขียน ได้แก่ หมอจริง / ดีเจพี่อ้อย / คิดมาก / สุธิพงษ์ ตันติยานนท์ / นภดล ร่มโพธิ์ / ทิง (วันนี้เจอนั่น) / ทำเรื่องเล่นให้เป็นเรื่องใหญ่ / อานนทวงศ์ นฤคพิทักษ์ / เธมส์ THINK ต่าง / โอมศิริ วีระกุล / TAXBugnoms / โสภณ ศุภมั่งมี / Low Profile ทุกคนมาจากวงการที่หลากหลายจึงกลั่นกรองจากแนวคิดส่วนตัวในโลกที่การแข่งขันสูงเช่นนี้ ความรู้ความประทับใจที่ได้ในมุมมองของครีเอเตอร์ได้เรียนรู้ว่าการรักตัวเองไม่ใช่การเห็นแก่ตัว แต่เราจะไม่สามารถรักใครได้จริงเลยถ้ารักตัวเองไม่เป็น ได้เรียนรู้ว่าชีวิตต้องเผชิญหน้ากับความไม่สุขบ้าง เราถึงจะเรียนรู้ว่าความสุขคืออะไร เพราะชีวิตไม่เคยง่ายขึ้น ความสุขอาจไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าเราไม่เลือกจะมีความสุขในวันนี้ พูดง่ายๆเราจะรอชีวิตไม่โหดร้ายแล้วค่อยมีความสุขไม่ได้ การที่ทุกอย่างในชีวิตไม่ได้ดั่งใจไม่ได้แปลว่าชีวิตจะล้มเหลว ได้เรียนรู้ว่าอย่าให้การเป็นผู้ใหญ่ทำให้เราลืมไปว่าคนเราเกิดมาเพื่อความสุข ขอให้มองเห็นความสุขเล็กน้อยที่เกิดขึ้นในแต่ละวันด้วยความรู้สึกขอบคุณจะช่วยให้สมองของเรามองเห็นความสุขมากขึ้น แล้วชีวิตก็จะยิ่งดึงดูดความสุขเข้ามาหาเราตามกฎแรงดึงดูด ได้เรียนรู้ว่าทักษะสำคัญของการเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่การเรียนรู้วิธีประสบความสำเร็จ แต่คือการเป็นคนที่กลับมาลุกขึ้นมายืนใหม่ได้ทุกครั้ง แม้ว่าจะล้มสักกี่ครั้งก็ตาม สิ่งนี้จะช่วยให้เราเป็นคนที่มีทัศนคติที่ดีขึ้นได้ ช่วยให้เราเจอปัญหาโดยไม่รู้สึกว่ามันเป็นทางตัน ได้เรียนรู้ว่าการทำงานหนักอาจเป็นเรื่องจำเป็นในบางสถานการณ์ แต่การทำงานหนักตลอดเวลาจนกระทบชีวิตส่วนตัวทำให้เราเสียครอบครัว เสียสุขภาพ นั่นอาจไม่ใช่งานที่คุ้มค่าในระยะยาว งานที่รักษาชีวิตส่วนตัวด้านอื่นๆได้จึงเป็นงานที่ดีกับเรา คงไม่มีงานไหนที่ทำแล้วไม่เหนื่อย มีแต่ความเหนื่อยที่ทำให้เราหมดไฟหรือความเหนื่อยที่ทำให้เรามีความรู้สึกดี ได้เรียนรู้ว่าความไม่สมบูรณ์แบบบนโลกทำให้เราพยายามพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นทุกวัน ไม่ใช่เพื่อความสมบูรณ์แบบ แต่เพื่อให้เราได้มองตัวเองในทุกๆวันด้วยความภูมิใจว่าเราดีกว่าเมื่อวาน ได้เรียนรู้ว่าคนรุ่นก่อนมีความเชื่อในแบบของเขา มีประสบการณ์จากยุคของเขา ผ่านความเจ็บปวดมามากก็ไม่อยากให้รุ่นเราต้องเจ็บปวดอีก จึงพยายามสร้างกรอบแห่งเงื่อนไขจนลืมไปว่าไม่มีอะไรเหมือนเดิม เหตุปัจจัยปัจจุบันมันเปลี่ยนไปแล้ว ต่อให้ใช้สูตรเดิมก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จได้ดังเดิม ได้เรียนรู้ว่าคนเราอาจมี 24 ชม.ต่อวันเท่ากัน แต่มีข้อจำกัดต่างกัน เรามีสองมือสองขาเหมือนกัน แต่มีภาระหน้าที่ต่างกัน หากทำไม่ได้เหมือนคนอื่น ไม่ได้หมายความว่าเราห่วยเสมอไป แต่มนุษย์เรามีข้อจำกัดของตัวเอง เส้นทางเดินของเราไม่ควรสร้างขึ้นจากมาตรฐานการใช้ชีวิตของคนอื่น ได้เรียนรู้ว่าความยากลำบากและความเจ็บปวดเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตคนเรามีภูมิต้านทาน...ทั้งนี้ควรจะมีในปริมาณที่พอดี (ทางสายกลางสำคัญมาก) ได้เรียนรู้ว่าบางครั้งเราให้ค่ากับการที่ต้องเติบโตไปเป็นคนพิเศษมากเกินไป จนลืมไปว่าแค่เป็นคนธรรมดาที่มีความสุขได้ก็ยากมากพออยู่แล้ว ได้เรียนรู้ว่าปัจจัยที่กระทบกับพลังงานตลอดวันของเรา ประกอบด้วย คุณภาพการนอนหลับในคืนที่ผ่านมา ประเภทของอาหารที่ทาน การออกกำลังกาย เวลาที่ได้พัก ความยาก ความน่าเบื่อ ความถึกของงานที่เราประสบในวันนี้ รวมทั้งพลังงานลบที่เราดูดซับจากคนรอบข้าง ได้เรียนรู้ว่ายิ่งเราเติบโตมากขึ้นเท่าไร ความสุขมันน้อยลงเรื่อยๆเท่านั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่ความสุขของเราน้อยลงหรอก เราแค่ชินกับความธรรมดาและคาดหวังความสุขมากขึ้นเรื่อยๆต่างหาก ได้เรียนรู้ว่าไม่มีอะไรได้ดั่งใจเราไปซะทุกอย่าง แม้แต่ตัวเองในบางวันก็ไม่ได้ดั่งใจเลย เราเลือกคนที่เจอไม่ได้ แต่เลือกจะวางเขาไว้ตรงไหนของชีวิตเราได้ อย่าเสียเวลานั่งถามว่าทำไมเขาถึงคิดแบบนี้ ให้คิดว่าถ้าเจอคนแบบนี้เราจะดีลกับเขาอย่างไร ? ได้เรียนรู้ว่าความผิดพลาดที่น่ากลัวที่สุดของชีวิต คือการคิดว่าเรายังเหลือเวลาอีกมากมายในชีวิต ได้เรียนรู้ว่าเราไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่างหรือต้องรู้มากกว่าคนอื่น แต่อยู่ที่ว่าเราจะนำสิ่งที่เรารู้มาทำให้เกิดประโยชน์ต่อคนอื่นให้มากที่สุดได้อย่างไร ได้เรียนรู้ว่าคนเราต้องมีความสุขด้วยตัวเองให้ได้ ไม่ใช่เอาความสุขของเราไปขึ้นอยู่กับความรู้สึกของคนอื่น หากเรามีความสุขที่ได้ทำให้คนอื่นมีความสุขในสิ่งที่เราทำ เราต้องมั่นใจว่าเรารู้สึกอย่างนั้นจริงๆไม่ใช่เพราะค่านิยมบังตา โดยสรุปแล้วสิ่งที่ครีเอเตอร์ตระหนักจากหนังสือเล่มนี้คือชีวิตคนเราล้มเหลวบ้างก็ได้ แต่อย่าให้เป็นหายนะ จากนั้นก็หาวิธีสู้ชีวิตด้วยวิธีใหม่ มุมมองใหม่ คนเราไม่มีใครหรอกที่ไม่เคยแพ้ ทุกคนเคยแพ้ เคยพลาดกันทั้งนั้น แต่อย่าไปพลาดซ้ำๆจนรู้สึกแย่กับตัวเอง นี่คือสิ่งที่ชีวิตสู้กลับจนเรารู้สึกว่าเราผิดหวังซ้ำซาก การสร้างตัว การสร้างความสัมพันธ์มันยากและความล้มเหลวซ้ำซากคอยซ้ำเติมในความเจ็บปวดเรามาโดยตลอดราวกับว่าเราไม่มีทางที่จะทำสิ่งที่หวังได้สำเร็จ ความล้มเหลวทำให้เรากลัวและกลัดกลุ้มว่าจะต้องผิดหวังอีก ในที่สุดก็ถอดใจล้มเลิกความหวัง สุดท้ายก็กลายเป็นไม่สำเร็จขึ้นมาจริงๆ เราคิดว่าเขาทำสำเร็จ เราก็ต้องทำได้อย่างเขา แท้จริงแล้วเราต้องไม่ลืมว่าเราอาจมีหนทางที่เหมาะสมที่เป็นแบบเฉพาะทางของตัวเองก็ได้ หรือบางทีมันก็เป็นเรื่องของจังหวะเวลาที่เราจะต้องยืนระยะในการทำอะไรบางอย่างให้นานพอผสมผสานกับการรู้จักวิเคราะห์หาหนทางใหม่ๆในการดำเนินการ ซึ่งพอเราได้ลองใช้วิธีการใหม่มันอาจจะได้ผลก็ได้ ส่วนเรื่องความเจ็บปวด เจ็บใจนั้น ขอให้ความสำเร็จมันเกิดขึ้นเถอะ แล้วเราจะมองว่ามันเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่จะต้องเกิดขึ้น เครดิตภาพภาพปก โดย macrovector จาก freepik.comภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียนภาพที่ 3 โดย freepik จาก freepik.comภาพที่ 4 โดย jigsawstocker จาก freepik.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจ รีวิวหนังสือ ไม่ต้องเลิกขี้อายก็ได้สิ่งที่ต้องการรีวิวหนังสือ คู่มือแสวงพรสวรรค์ โดย ทันตแพทย์สม สุจีรารีวิวหนังสือ RETHINK เพราะชีวิตคือการคิดหลายชั้น โดย ศ.ดร.นภดล ร่มโพธิ์รีวิวหนังสือ ทิ้งนิสัยไม่ดีแล้วจะมีความสุข รีวิวหนังสือ คิดแบบอัจฉริยะ โดย ทันตแพทย์สม สุจีราเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !