ทำไมเราต้องจ่ายภาษีและภาษีย้อนหลังคืออะไร บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อให้ความรู้พื้นฐานแก่ผู้ที่ต้องการทราบว่าตนเองถึงเกณฑ์ที่ต้องจ่ายภาษีหรือไม่รวมถึงการทำความเข้าใจเรื่องภาษีและภาษีย้อนหลัง ภาษี คือ “เงินที่ประชาชนทุกคนต้องจ่ายให้รัฐ” เพื่อที่รัฐจะเอาเงินนี้ไปใช้ในการบริหารประเทศ เหตุผลที่เราต้องจ่ายภาษี: - เพื่อสร้างสาธารณูปโภค เช่น ถนน โรงเรียน โรงพยาบาล ไฟฟ้า น้ำประปา - เพื่อบริการสาธารณะ เช่น การรักษาความปลอดภัย ตำรวจ กองทัพ ระบบขนส่งสาธารณะ - เพื่อช่วยเหลือคนที่ลำบากกว่า เช่น โครงการคนละครึ่ง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เบี้ยผู้สูงอายุ - เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ - เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและกฎหมาย เช่น การสนับสนุนกระบวนการยุติธรรม สำคัญ: หากทุกคนไม่จ่ายภาษี รัฐบาลจะไม่มีเงินมาบริหารประเทศ เพราะฉะนั้นอย่าลืมจ่ายภาษีตามกฎหมายกันนะครับ! แล้วถ้าสมมุติเงินของเราจ่ายไปแล้วแล้วเงินมันจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ? เงินภาษีที่เราจ่ายไป ถูกใช้ที่ไหน? ใครเป็นคนดูแล? เส้นทางของภาษี ประชาชน → จ่ายภาษีให้ → กรมสรรพากร (หน่วยเก็บภาษี) กรมสรรพากร → นำส่งเงินเข้าคลัง → กระทรวงการคลัง (หน่วยเก็บเงินของประเทศ) กระทรวงการคลัง → กระจายเงินให้กับ → หน่วยงานรัฐบาลต่าง ๆ เช่น กระทรวงศึกษา, กระทรวงสาธารณสุข, กองทัพและอื่นๆ แล้วใครเป็นคนดูแลเงินภาษีเราล่ะ? - รัฐบาลและกระทรวงการคลัง เป็นผู้จัดสรรงบประมาณ - สำนักงบประมาณ คอยตรวจสอบและวางแผนการใช้เงิน - สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้องในการใช้เงินภาษี ภาษีย้อนหลังคืออะไร? เกิดขึ้นได้ยังไง? ภาษีย้อนหลัง (Tax Assessment / Tax Audit) คือ ภาษีที่เจ้าหน้าที่สรรพากร “เรียกเก็บย้อนหลัง” ในกรณีที่ผู้เสียภาษี - ยื่นภาษีผิด (โดยไม่ตั้งใจ หรือ ตั้งใจหลบเลี่ยง) - ยื่นไม่ครบ - ไม่ยื่นภาษีเลย - มีรายได้ที่ไม่ได้แจ้งต่อสรรพากร ตัวอย่างสถานการณ์: - นาย A มีรายได้จากขายของออนไลน์แต่ไม่ยื่นภาษี → สรรพากรตรวจเจอภายหลัง → เรียกเก็บภาษีย้อนหลัง - นาย B ยื่นภาษีต่ำกว่าความเป็นจริง → สรรพากรตรวจสอบและขอเอกสาร → เรียกเก็บภาษีย้อนหลัง ภาษีย้อนหลัง เกิดขึ้นเมื่อไหร่? (ระยะเวลา) ตามกฎหมายไทย: - โดยทั่วไป: สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ยื่นภาษี - กรณีไม่ยื่นภาษีเลย: ตรวจสอบย้อนหลังได้ 10 ปี ตัวอย่าง: - ปี 2025 → ยื่นภาษีปี 2024 → สรรพากรสามารถตรวจย้อนหลังได้ถึงปี 2020 - ถ้าไม่ยื่นเลย → อาจถูกตรวจย้อนหลังไปถึงปี 2015 ได้เลย เอาล่ะได้เวลาที่เราจะมาเริ่มเกณฑ์ในการเสียภาษีแล้วจะเป็นยังไงไปดูกันเลย!!! 1. เกณฑ์รายได้ขั้นต่ำที่ต้องเสียภาษี (ฐานภาษีบุคคลธรรมดา) ในประเทศไทย กฎหมายกำหนด “เงินได้พึงประเมิน” ต่อปี ว่าถ้าเกินเกณฑ์นี้ → ต้องยื่นภาษี → และถ้าเข้าเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี → ต้องจ่ายภาษี ปีภาษี 2567 (อัปเดตล่าสุด) คนโสด: - รายได้ ไม่เกิน 120,000 บาทต่อปี → ไม่ต้องยื่นภาษี - รายได้ เกิน 120,000 บาทต่อปี → ต้องยื่นภาษี - รายได้ เกิน 150,000 บาทต่อปี → มีโอกาสเริ่มเสียภาษี คนมีคู่: - รายได้ ไม่เกิน 220,000 บาทต่อปี (รวมคู่สมรส) → ไม่ต้องยื่นภาษี - รายได้ เกิน 220,000 บาทต่อปี → ต้องยื่นภาษี - รายได้ เกิน 300,000 บาทต่อปี → มีโอกาสเริ่มเสียภาษี ในที่สุดการโสดก็มีประโยชน์ตรงยื่นภาษีนี่แหละเห็นได้ชัดเลยนะว่าการโสดเนี่ยมีโอกาสเสียภาษีที่น้อยกว่าเอ๊ะแต่ๆๆๆๆๆๆๆ ถ้าคุณลองคิดดูดีๆเนี่ยการมีคู่ครองต่างหากที่เสียภาษีน้อยกว่า ยังไงไปดู!!!! ค่าลดหย่อนภาษี เรามาพูดถึงกันเรื่องค่าลดหย่อนกันบ้างดีกว่าครับในที่นี้เราจะมาเริ่มกันที่ สิทธิ์ลดหย่อนพื้นฐาน(ทุกคนสามารถใช้ได้) - ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท - คู่สมรสไม่มีรายได้ 60,000 บาท - บุตร (คนแรก) 30,000 บาท - บุตร (คนที่สองขึ้นไป) 60,000 บาท ต่อคน - ค่าฝากครรภ์/คลอดบุตรตามจริงไม่เกิน 60,000 บาท ต่อการตั้งครรภ์หนึ่งครั้ง หมายเหตุ: หากปีเดียวมี 2 ครรภ์ (ไม่รวมแฝด) ก็จะลดหย่อนได้ ครั้งละ 60,000 บาท รวมกันสูงสุด 120,000 บาทต่อปี แต่ถ้าเป็นแฝด = ถือหนึ่งครรภ์ ลดหย่อนได้ไม่เกิน 60,000 บาท เห็นไหมล่ะครับว่าทำไมการมีคู่ครองทำให้เสียภาษีน้อยกว่าอยู่เป็นโสดเพราะฉะนั้นหาคู่ครองซะะะ!!! ลดหย่อนค่าดูแลคุณพ่อคุณแม่ - ลดหย่อนได้ คนละ 30,000 บาท ต่อพ่อหรือแม่ - พ่อแม่ต้อง อายุ 60 ปีขึ้นไป และมีรายได้ ไม่เกิน 30,000 บาท ต่อปี - ถ้าคู่สมรสไม่มีรายได้ ก็สามารถลดหย่อนพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายได้อีกคนละ 30,000 บาท (รวมสูงสุด 120,000 บาท) - หากมีพี่น้องหลายคน จะได้สิทธิ์นี้แค่คนเดียวต่อพ่อแม่แต่ละคนในแต่ละปีภาษี ลดหย่อนค่าอุปการะคนพิการ (หรือทุพพลภาพ) - ลดหย่อนได้ คนละ 60,000 บาท ต่อคน - เงื่อนไขหลัก: ผู้ที่ดูแลต้องมีชื่อในบัตรคนพิการของผู้พิการ ผู้พิการต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท ต่อปี (ไม่รวมรายได้ที่ยกเว้น) ต้องมี ใบรับรองแพทย์และหนังสือรับรองผู้ดูแล - หากคนพิการเป็นพ่อแม่หรือลูก ก็สามารถใช้ได้ซ้อนกับสิทธิ์ดูแลพ่อแม่/ลูกตามปกติ นอกจากนี้ยังมีสิทธิ์ลดหย่อนเพื่ออนาคตและสังคมด้วยนะ สิทธิ์ลดหย่อนเพื่ออนาคต - เงินประกันชีวิต ไม่เกิน 100,000 บาท - เงินสะสมกองทุน SSF ไม่เกิน 30% ของเงินได้, สูงสุด 200,000 บาท - เงินสะสมกองทุน RMF ไม่เกิน 30% ของเงินได้, สูงสุด 500,000 บาท - เบี้ยประกันสุขภาพ ไม่เกิน 25,000 บาท - ดอกเบี้ยบ้าน ไม่เกิน 100,000 บาท - สิทธิ์ลดหย่อนเพื่อสังคม บริจาคเพื่อการศึกษา/สาธารณกุศล ลดได้ 2 เท่า (สูงสุด 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน) บริจาคให้พรรคการเมือง ไม่เกิน 10,000 บาท และเรื่องทั้งบทความนี้ที่ผู้เขียนสรุปเป็นเรื่องพื้นฐานที่ควรรู้เอาไว้ว่าเราต้องเสียภาษีไหม ผู้เขียนหวังว่าบทความที่ผู้เขียนนี้จะมีประโยชน์ต่อผู้อ่านทุกท่านในการยื่นภาษีต่อภาครัฐและเป็นไปตามกฎหมายอย่างถูกต้องและหากมีข้อผิดพลาดประการใดผู้เขียนต้องขออภับมา ณ ที่นี้ด้วย เครดิตภาพทั้งหมดผู้เขียนเป็นคนสร้างและจัดทำขึ้นมา เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !