วัยใดเหมาะสำหรับการเริ่มเรียนภาษาต่างประเทศมากที่สุด

ในเช้าอันวุ่นวายที่โรงเรียนเตรียมอนุบาล Spanish Nursery ที่เปิดสอนหลักสูตรสองภาษาในย่านตอนเหนือของกรุงลอนดอน
บรรดาผู้ปกครองต่างพาลูกหลานมาส่งที่โรงเรียน ขณะที่เหล่าคุณครูต่างกล่าวทักทายเด็ก ๆ ด้วยน้ำเสียงที่แจ่มใสว่า Buenos días! หรือสวัสดีตอนเช้าในภาษาสเปน
ที่สนามเด็กเล่น เด็กหญิงตัวน้อยร้องขอให้คุณครูช่วยถักผมเปียเป็นภาษาสเปน ก่อนที่จะหันไปโยนลูกบอลให้เพื่อนร่วมชั้นพร้อมกับจะโกนบอกให้เพื่อนรับบอลลูกนั้นเป็นภาษาอังกฤษ
- นักโทษคดีฆาตกรรมเรียนไม่จบมัธยมปลาย แก้ปัญหาคณิตศาสตร์ขั้นสูงได้ในเรือนจำ
- เลี้ยงลูกอย่างไรให้เป็นอัจฉริยะ?
- เคล็ดลับอ่านหนังสือเร็ว 100,000 คำภายใน 5 นาที ทำได้จริงหรือหลอกลวง ?
"ในวัยนี้ เด็ก ๆ ไม่ได้เรียนภาษา แต่พวกเขาซึมซับ 'รับ' เอาภาษาเข้าไป" คาร์เมน แรมเพอร์ซาด ผู้อำนวยการโรงเรียนกล่าว ซึ่งมันดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นสำหรับการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศอย่างแทบไม่ต้องใช้ความพยายามของนักเรียนตัวน้อยเหล่านี้
สำหรับเด็กนักเรียนที่นี่ ภาษาสเปน คือภาษาที่ 3 หรือแม้แต่ภาษาที่ 4 พวกเขามีภาษาแม่ที่ต่างกันออกไป อาทิ ภาษาโครเอเชีย ภาษาฮิบรู ภาษาเกาหลี และภาษาดัตช์
หากเปรียบเทียบกับความพยายามอย่างหนักของผู้ใหญ่ในชั้นเรียนภาษาต่างประเทศ นี่อาจเป็นเรื่องง่ายที่จะสรุปว่า วัยเด็กคือช่วงวัยที่ดีที่สุดในการเรียนภาษาต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ได้เผยให้เห็นภาพที่ซับซ้อนเกี่ยวกับการเรียนภาษาของคนเราที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงวัยต่าง ๆ และยังเป็นข่าวดีสำหรับผู้เริ่มเรียนภาษาใหม่ในตอนที่อายุได้ล่วงเลยวัยเด็กไปแล้ว
พูดง่าย ๆ ก็คือ ช่วงวัยต่าง ๆ กัน ให้ผลดีในการเรียนภาษาที่แตกต่างกันออกไป
ในวัยทารก เรามีความสามารถในการได้ยินเสียงที่ดีกว่า ขณะที่เด็กวัยหัดเดินสามารถเรียนสำเนียงภาษาแม่ได้รวดเร็วอย่างน่าทึ่ง
ส่วนวัยผู้ใหญ่ มีสมาธิในการเรียนนานกว่า และมีทักษะสำคัญ เช่น การอ่านออกเขียนได้ ซึ่งจะช่วยให้สามารถเก็บสะสมคำศัพท์ได้มากขึ้น แม้จะเป็นภาษาแม่ของเราเองก็ตาม
ส่วนปัจจัยอื่น ๆ นอกเหนือจากเรื่องอายุในการเรียนภาษา เช่น สภาพแวดล้อมทางสังคม วิธีการสอนของครู หรือแม้แต่ปัจจัยเรื่องความรักและมิตรภาพ ก็สามารถส่งผลต่อการเรียนภาษาได้ด้วยเช่นกัน
ใช้สมองให้เกิดประโยชน์สูงสุด
"ไม่ใช่ว่าอะไร ๆ จะแย่ไปตามอายุที่เพิ่มขึ้น" ศาสตราจารย์ อันโตเนลลา โซเลซ ผู้อำนวยการ Bilingualism Matters Centre ศูนย์ข้อมูลและการวิจัยระบบการเรียนการสอนแบบสองภาษาแห่งมหาวิทยาลัยเอดินบะระ ในสกอตแลนด์ กล่าว
เธอยกตัวอย่างสิ่งที่เรียกว่า "การเรียนรู้แบบชัดแจ้ง" (explicit learning) ซึ่งหมายถึงการศึกษาในห้องเรียนที่มีครูคอยอธิบายกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งผู้ใหญ่ดูเหมือนจะเรียนได้ดีกว่าเด็กในข้อนี้
"เด็กเล็กทำได้ไม่ดีนักในการเรียนรู้ลักษณะนี้ เพราะพวกเขายังไม่มีความสามารถในการควบคุมด้านความคิด สมาธิ และความจำได้อย่างมีประสิทธิภาพ"
แต่ผู้ใหญ่มีทักษะด้านนี้ดีกว่ามาก
"นี่คือปัจจัยที่ดีขึ้นเมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น" ศาสตราจารย์ โซเลซ กล่าว
งานวิจัยชิ้นหนึ่งในอิสราเอลพบหลักฐานบ่งชี้ว่า ผู้ใหญ่สามารถทำความเข้าใจกับกฎเกณฑ์ทางภาษาที่ประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ แล้วนำมาใช้กับคำศัพท์ใหม่ ๆ ในห้องเรียนได้ดีกว่า
นักวิทยาศาสตร์ ได้ศึกษาเปรียบเทียบคนวัยต่าง ๆ คือ เด็กอายุ 8 ขวบ เด็กอายุ 12 ปี และผู้ใหญ่ตอนต้น พบว่า กลุ่มผู้ใหญ่ตอนต้นทำคะแนนด้านนี้ได้ดีกว่าเด็กทั้งสองกลุ่ม ส่วนเด็กอายุ 12 ปี ก็ทำได้ดีกว่าเด็กอายุ 8 ขวบ
นี่สอดคล้องกับผลการศึกษาระยะยาวของกลุ่มคนพูด 2 ภาษา คือกาตาลาและสเปน ที่เรียนภาษาอังกฤษจำนวน 2,000 คน ซึ่งพบว่า คนที่เริ่มเรียนตอนโตแล้ว สามารถพูดภาษาใหม่เป็นเร็วกว่าคนที่เริ่มตอนอายุน้อยกว่า
พลังของสมองผู้ใหญ่ตอนต้น
คณะนักวิจัยจากอิสราเอลชี้ว่า อาสาสมัครที่เข้าร่วมการวิจัยของพวกเขาอาจได้ประโยชน์จากทักษะต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตามอายุที่มากขึ้น เช่น กลยุทธ์ในการแก้ปัญหาที่ยากขึ้น และมีประสบการณ์ด้านภาษาศาสตร์ที่สูงขึ้น
หรือจะพูดได้ว่า คนที่เริ่มเรียนภาษาใหม่ในตอนโต มักมีความรู้รอบตัวอยู่ก่อนแล้ว และใช้ความรู้เหล่านี้ในการประมวลข้อมูลการเรียนรู้ใหม่ ๆ
ส่วนเรื่องที่คนอายุน้อยทำได้ดีกว่าก็คือ "การเรียนทางอ้อม" นั่นคือ การฟังเจ้าของภาษาพูดแล้วเลียนแบบพวกเขา แต่การเรียนประเภทนี้จะต้องใช้เวลานานอยู่กับเจ้าของภาษา
ในปี 2016 ศูนย์ Bilingualism Matters Centre ได้ทำรายงานเรื่องการเรียนภาษาจีนกลางในโรงเรียนประถม และพบว่า การสอนสัปดาห์ละ 1 ชั่วโมงไม่ได้สร้างความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญสำหรับเด็กวัย 5 ขวบ
แต่หากเพิ่มเวลาเรียนเข้าไปอีก 30 นาที และได้เรียนกับเจ้าของภาษา ก็จะช่วยให้เด็กสามารถเข้าใจส่วนที่ยากสำหรับผู้ใหญ่ที่เรียนภาษาจีนกลาง เช่น การออกเสียง เป็นต้น
เรียนรู้ได้ง่ายดาย
โดยธรรมชาติแล้วเราทุกคนต่างเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการเรียนรู้ภาษา ยกตัวอย่างเช่น ในวัยทารกเราสามารถได้ยินเสียงพยัญชนะทั้ง 600 เสียง และเสียงสระ 200 เสียงของภาษาต่าง ๆ ในโลก
ในช่วง 1 ปีแรก สมองของเราจะเริ่มมีความเจาะจงขึ้น และจะให้ความสนใจกับเสียงที่เราได้ยินบ่อยที่สุด
เด็กในวัยหัดเดินจะเริ่มพูดอ้อแอ้ในภาษาแม่ของพวกเขา แม้แต่เด็กแรกเกิดยังร้องไห้โดยเน้นเสียงตามสำเนียงภาษาแม่ที่พวกเขาได้ยินมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา
ความเจาะจงดังกล่าว ยังหมายถึงการละทิ้งทักษะที่เราไม่จำเป็นต้องมี เช่น ทารกญี่ปุ่นสามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างเสียง L กับเสียง R ในภาษาอังกฤษได้โดยง่าย แต่นี่กลับเป็นเรื่องยากกว่าสำหรับผู้ใหญ่ชาวญี่ปุ่น
ศาสตราจารย์ โซเลซ กล่าวว่า ช่วงขวบปีแรก ๆ มีความสำคัญในการเรียนรู้ภาษาแม่
งานวิจัยหลายชิ้นที่ศึกษาเด็กที่ถูกทอดทิ้ง หรือถูกปล่อยทิ้งไว้ตามลำพัง พบหลักฐานบ่งชี้ว่า หากเราไม่ได้เรียนภาษามนุษย์ตั้งแต่เล็ก ๆ ก็จะเรียนรู้ในภายหลังได้ยากขึ้น
เมื่อความจำเป็นผลักดันให้ต้องเรียนภาษาใหม่
ดร.ดานิเยลา เทรนคิก นักภาษาศาสตร์จิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยยอร์ก ในอังกฤษได้ยกตัวอย่างของครอบครัวที่เข้าไปตั้งรกรากในประเทศใหม่
โดยทั่วไป เด็กจะเรียนภาษาได้เร็วกว่าพ่อแม่ของพวกเขามาก
ที่เป็นเช่นนี้ เพราะเด็กอาจรู้สึกถึงความจำเป็นที่เร่งด่วนกว่า เนื่องจากการพูดภาษามีความสำคัญต่อการอยู่รอดในสังคมของพวกเขา นั่นคือ การผูกมิตรกับเพื่อนใหม่ การเป็นที่ยอมรับ และเข้ากับสังคมใหม่ได้
ในขณะที่พ่อแม่มักเลือกที่จะคบค้าสมาคมกับคนที่เข้าใจพวกเขาได้มากกว่า เช่น คนที่มาจากประเทศเดียวกัน
นอกจากนี้ ดร.เทรนคิก ยังชี้ว่า "การสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์ก็ช่วยให้เรียนรู้ภาษาใหม่ได้ดีขึ้นด้วย"
ผู้ใหญ่สามารถสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์ได้หลายวิธี ไม่ใช่แค่ด้วยการมีความรัก หรือมิตรภาพกับเจ้าของภาษา
ผลการศึกษาผู้ใหญ่ชาวอังกฤษในชั้นเรียนภาษาอิตาลี เมื่อปี 2013 พบว่า คนที่ยังคงใช้ภาษานี้ต่อไปคือคนที่ผูกพันกับเพื่อนร่วมชั้นคนอื่น ๆ หรือครู
"ถ้าคุณมีคนที่สนใจเรื่องภาษาเหมือนกัน ก็จะทำให้มีความพยายามในการใช้ภาษามากขึ้น และคงทักษะนี้เอาไว้ได้" ดร. เทรนคิก กล่าว
กระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิต
ผลการศึกษาของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) เมื่อช่วงต้นปี โดยใช้ข้อมูลที่ได้จากการเล่นเกมตอบคำถามออนไลน์ของผู้เข้าร่วมการศึกษาเกือบ 670,000 คน พบว่า การจะใช้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษให้ได้ระดับเดียวกับเจ้าของภาษานั้น จะต้องเริ่มเรียนตอนอายุประมาณ 10 ปี จึงจะดีที่สุด และเมื่อเกินจากนั้นความสามารถก็จะค่อย ๆ ลดลง
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยพบว่าเราสามารถพัฒนาทักษะด้านภาษาของเราให้ดีขึ้นได้เรื่อย ๆ ซึ่งรวมถึงภาษาแม่ด้วย
ยกตัวอย่างเช่น เราจะมีความเชี่ยวชาญเรื่องไวยากรณ์ในภาษาแม่ของเราได้อย่างเต็มที่ตอนอายุประมาณ 30 ปี
ข้อมูลนี้สอดคล้องกับผลการศึกษาก่อนหน้านี้ที่บ่งชี้ว่า แม้แต่คนที่เป็นเจ้าของภาษายังเรียนรู้คำศัพท์ใหม่เพิ่มวันละ 1 คำ ไปจนเข้าสู่ช่วงวัยกลางคน
ดร. เทรนคิก ชี้ว่า ผลการศึกษาของ MIT บ่งชี้ถึงความสามารถที่ช่วยพัฒนาให้คนที่เป็นเจ้าของภาษามีความแม่นยำขึ้นในเชิงของไวยากรณ์
ยอดนิยมในตอนนี้
