ภาคต่อของหนังสือพ่อรวยสอนลูก ที่ใครยังไม่เคยอ่านเล่มแรกมาก่อนก็เข้ามาอ่านภาคสองได้ เพราะสองภาคนี้ไม่ได้ต่อเนื่องกัน แต่เน้นความรู้ทางการเงินคนละแง่มุม พ่อรวยสอนลูกภาคแรกนั้น เน้นในเรื่องของการสร้างกระแสเงินสดให้มีรายได้มากกว่ารายจ่าย รู้จักงบดุล งบรายได้-ค่าใช้จ่ายแบบเข้าใจง่าย ส่วนพ่อรวยสอนลูก 2 เงินสี่ด้านนั้น เน้นในเรื่องของรายได้จากงานที่เราทำอยู่ ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 4 ด้านได้แก่...1.ด้าน E (Employee) หรือลูกจ้างคนกินเงินเดือนทำงานประจำ แม้แต่ผู้อำนวยการก็นับว่าอยู่ในด้านเหมือนกัน เพราะยังต้องเข้ามาทำงานประจำ ละทิ้งหน้าที่ไปเลยไม่ได้ 2.ด้าน S (Self employed) คือเจ้าของธุรกิจส่วนตัว เช่น ขายของออนไลน์ เปิดร้านอาหารตามสั่งจำหน่าย หรือเจ้าของธุรกิจ SME ก็เช่นเดียวกัน เป็นงานที่จัดการทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวทั้งหมด 3.ด้าน B (Business owner) เจ้าของกิจการขนาดใหญ่ ที่ปกครองคนมากกว่า 500 คนขึ้นไป ซึ่งถือว่าเป็นผู้ประกอบการตัวจริง 4.ด้าน I (Investor) คือนักลงทุน ลงทุนในธุรกิจที่น่าสนใจจนสร้างธุรกิจเหล่านั้นจากจุดเริ่มต้นจนประสบความสำเร็จได้ นักลงทุนก็จะได้ผลตอบแทนมหาศาล ผู้เขียนหนังสือ Robert T. Kiyosaki ได้เน้นว่าถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้คนที่ทำงานประจำมีแหล่งรายได้มากกว่าด้านเดียว และการเป็นคนรวยต้องย้ายเข้ามายังด้าน B และ I ให้ได้ เนื้อหาภายในเล่ม1.เงินสี่ด้าน2.ดึงสิ่งที่ดีที่สุดในตัวคุณออกมา3.วิธีการเป็นคนในด้าน B และด้าน I ที่ประสบความสำเร็จรวมทั้ง 7 ขั้นตอนสู่การค้นหาเส้นทางด่วนทางการเงินของคุณ สิ่งที่ได้เรียนรู้น่าประทับใจภายในเล่ม ได้เรียนรู้ว่าการประสบความสำเร็จในด้าน B (Business Owner) จะต้อง...1.มีความเป็นเจ้าของ หรือความสามารถในการควบคุมระบบ2.ความสามารถในการเป็นผู้นำคนอื่น ได้เรียนรู้ว่าคนเราถ้ามีอายุถึง 75 ปีก็มักจะต้องเคยเจอกับความตกต่ำทางเศรษฐกิจ 1 ครั้ง และการถดถอยทางเศรษฐกิจรุนแรงอีก 2 ครั้ง ประวัติศาสตร์มักเป็นเช่นนี้เสมอ แต่มักจะมาจากสาเหตุที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง ได้เรียนรู้ว่าจากสถิติ 9 ใน 10 ของธุรกิจที่เริ่มต้นใหม่ประสบความล้มเหลวใน 5 ปีแรก และธุรกิจเดียวที่ไม่เจ๊งใน 5 ปีแรกก็จะเจ๊งใน 5 ปีถัดไป ได้เรียนรู้ว่าปัจจุบัน ระบบธุรกิจมีอยู่ 3 ประเภท1.องค์กรดั้งเดิมแบบ C คือเราพัฒนาระบบของเราขึ้นมาเอง2.แฟรนไชส์ คือเราซื้อระบบที่มีอยู่แล้ว3.การตลาดแบบเครือข่าย คือเราจ่ายเงินเพื่อเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่มีอยู่แล้ว ได้เรียนรู้ว่าธนาคารไม่ค่อยอยากให้สินเชื่อกับคนลงทุนอสังหาริมทรัพย์ขนาดเล็ก แต่จะยินดีให้สินเชื่อกับการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่มากกว่า เพราะธนาคารมองว่าการลงทุนนั้นๆมีโอกาสอยู่รอดมากกว่า และสินเชื่อนั้นจะไม่กลายเป็นหนี้เสีย ได้เรียนรู้เกี่ยวกับภาษาการเงินมากขึ้น มันยังไม่ใช่ความมั่งคั่ง แต่มันคือจุดเริ่มต้น อย่างน้อยเราก็ใช้ภาษาเดียวกันและตัวเลขเดียวกันในการพูดคุย ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความรู้ทางการเงิน เช่น ลงทุนหุ้นต้องรู้จักดูค่า P/E กี่เท่า ลงทุนคอนโดให้เช่ารู้จักการคำนวณราคาเสนอซื้อหรือไม่ ได้เรียนรู้ว่าการลงทุนอสังหาริมทรัพย์บางครั้งมันเหมือนจะฟังดูดี แต่พอได้วิเคราะห์ลึกซึ้งดูแล้ว ปรากฏว่าเรากลับต้องจ่ายเงินผ่อนที่กู้จากธนาคารมากกว่ารายได้จากผู้เช่าเสียอีก ส่วนใหญ่มักพลาดที่ไปเชื่อนายหน้าอสังหาฯว่าการซื้อทรัพย์สินพวกนี้มูลค่ามันมีแต่จะเพิ่มขึ้น ทั้งที่เราควรจะให้มีกำไรตั้งแต่ตอนเข้าถือครองแล้ว ได้เรียนรู้ว่าก่อนการลงทุนอะไรก็ตามแต่ ต้องแยกให้ออกว่าข้อมูลที่เราได้เป็นข้อเท็จจริงหรือความคิดเห็น บ่อยครั้งเรามักเชื่อความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ทั้งที่มันอาจจะไม่เป็นไปตามนั้นก็ได้ ที่เลวร้ายกว่านั้นคือการใช้ความคิดเห็นมาตัดสินเรื่องตัวเลขงบการเงิน ได้เรียนรู้ว่าการซื้อหุ้น กองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์ พันธบัตรเฉยๆนั้นไม่ได้ทำให้รวยขึ้นมาหรอก การทำตามอย่างนักลงทุนมืออาชีพก็ไม่ได้รับประกันว่าเราจะประสบความสำเร็จทางการเงินอย่างเขา ได้เรียนรู้ว่าการกำไรและขาดทุนเป็นเรื่องของอารมณ์ ในการจะเป็นนักลงทุนหรือเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จนั้น เราต้องรู้จักวางเฉยกับกำไรและขาดทุน เพราะว่ามันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของเกม ได้เรียนรู้ว่าคนที่เกิดมาจนแต่สร้างตัวให้ร่ำรวยขึ้นได้ในภายหลัง พวกเขามักมีคุณสมบัติอยู่ 3 ประการ1.พวกเขายึดถือมุมมองและแผนการในระยะยาว2.พวกเขาเชื่อมั่นในการเลื่อนความพึงพอใจออกไปในอนาคต3.พวกเขาใช้พลังของการทบต้นให้เป็นประโยชน์ ครีเอเตอร์ได้เรียนรู้เรื่องคำแนะนำทางการเงินมาพอสมควรจากหนังสือเล่มนี้ และตระหนักว่าจะต้องมีรายได้จากด้าน B หรือด้าน I ให้ได้ในสักวันหนึ่ง แม้มันจะต้องใช้สิ่งที่มากกว่าเงินก็ตาม นั่นคือกำลังใจ จิตวิญญาณแห่งผู้ประกอบการ ความเป็นผู้นำ ฯลฯ อ่านแบบผิวเผินก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไร...เหมือนบทความยืดเยื้อวนเวียนย้ำไปย้ำมา แต่พอมานึกคิดตามดูอีกครั้งจะตระหนักว่าผู้เขียนคงอยากย้ำเตือนเราบ่อยๆเพื่อสร้างทัศนคติมากกว่าการสร้าง How to เพราะเขามองว่าการสร้างทัศนคตินั้นสำคัญกว่ามาก หนังสือของโรเบิร์ตทุกเล่มส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ ส่วนใครอยากรู้ How to ก็ค่อยไปหาอ่านเอาจากเล่มอื่นแทน ดังนั้น ถ้าใครถนัดการสร้างตัวจากด้าน E S B หรือ I ก็หาศึกษาหาอ่าน หาเรียนรู้ตามความถนัดได้เลย เพราะใช่ว่าคนด้าน E ด้าน S จะรวยไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วทั่วทั้งโลก คนมักจะรวยจากด้าน B หรือด้าน I ซะมากกว่า เครดิตภาพภาพปก โดย evening_tao จาก freepik.comภาพที่ 1 2 3 และ 4 โดยผู้เขียนภาพที่ 5 โดย sophon.k จาก freepik.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจรีวิวหนังสือ พ่อรวยสอนลูกรีวิวหนังสือ พ่อรวยสอนวัยรุ่นรีวิวหนังสือ WHY THE RICH ARE GETTING RICHER (ทำไมคนรวยยิ่งรวยขึ้น)รีวิวหนังสือ SECOND CHANGE โอกาสอีกครั้ง มั่งคั่งอีกหนรีวิวหนังสือ ชวนคุณให้รวย (Why we want you to be rich)7-11 Community ห้องลับเมาท์มอยของกินของใช้ในเซเว่น อะไรดีอะไรใหม่ ต้องรู้ ต้องคุย ต้องแชร์