MAJOR ลมเปลี่ยนทิศ
บล.กสิกรไทย จำกัด มีมุมมองบวกเล็กน้อยต่อการขายหุ้น MPIC เพราะบ่งชี้ถึงเงินสดต่อหุ้นราว 0.54 บาท และ upside ต่อ EPS ปี 2567 ที่ 6.25% ข้อมูลภาพยนตร์ box office เดือนเม.ย. และ พ.ค. แสดงถึงการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง จำนวนภาพยนตร์ที่เข้าฉายเดือนมิ.ย. ดีกว่าปีก่อนและใกล้เคียงกับ Q2/62 แนะนำ “ซื้อ” ด้วย TP ที่ 19.1 บาท จาก 1) เงินปันผลจากการขายหุ้น 2) ช่วงไฮซีซั่นของกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2566 และ 3) upside risk ต่อคาดการณ์ของฝ่ายวิจัย
เหตุการณ์ เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.2566 MAJOR จัดการประชุมนักวิเคราะห์ออนไลน์เพื่อชี้แจงเกี่ยวกับผลกระทบทางการเงินจากการขายหุ้นทั้งหมดของ MPIC ออกไป
ทบทวน เมื่อวันที่ 23 ก.พ.2566 บอร์ดบริหารของบริษัทฯ อนุมัติการขายหุ้น 92.46% ใน MPIC กับผู้ซื้อที่เกี่ยวข้อง ในราคา 650 ลบ. เมื่อวันที่ 26 พ.ค.2566 MAJOR ชี้แจงต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่าธุรกรรมดังกล่าวเสร็จสมบูรณ์แล้ว
กลยุทธ์ธุรกิจที่สมเหตุสมผล ในการประชุม ผู้บริหารยืนยันว่าการขายหุ้นเชิงกลยุทธ์ของ MPIC ช่วยลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นลงแลเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับการดำเนินงานของธุรกิจผลิตภาพยนตร์และจัดจำหน่าย MAJ0R ยังจะเป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมผลิตภาพยนตร์ซึ่งจะเพิ่มอุปทานภาพยนตร์ไทยและเพิ่มคุณภาพของภาพยนตร์ไทย
ผลกระทบทางการเงิน ผู้บริหารบอกกับฝ่ายวิจัยว่า MAJOR จะบันทึกกำไรจากการขายหุ้นในงบการเงินไตรมาส 2/2566 แต่ปฏิเสธที่จะเปิดเผยจำนวนเงินที่จะได้รับ นอกจากนี้ เงินทุนที่ได้จากการขายหุ้นจะได้รับการยกเว้นภาษีด้วย ผู้บริหารยังไม่ตัดสินใจขั้นสุดท้ายถึงเรื่องวัตถุประสงค์ในการใช้เงินทุนซึ่งอาจนำไปใช้ สำหรับหรับการจ่ายเงินสดปันผล การซื้อหุ้นคืนและเงินทุนหมุนเวียน ขณะเดียวกันกำไรหรือผลขาดทุนจาก MPIC ในอดีตบ่งชี้ว่ากิจกรรมการผลิตภาพยนตร์และต้นทุนการดำเนินงานคงที่ของ MPIC ภายใต้การบันทึกของ MAJOR อยู่ที่ประมาณปีละ 60 ลบ.
มุมมองของฝ่ายวิจัย มีมุมมองบวกเล็กน้อยต่อการขายหุ้นครั้งนี้ เงินทุนทั้งหมดที่ได้รับจากการขายหุ้นคาดจะอยู่ที่ 0.54 บาท/หุ้น หรือ 3.5% ของราคาหุ้น MAJOR หากพิจารณาคร่าว ๆ การขายหุ้น MPIC คาดจะเพิ่ม EPS ปี 2567 ของ MAJOR ขึ้น 0.07 บาท หรือ 6.25% บนสมมติฐานที่ค่าใช้จ่าย SG&A ลดลง 60 ลบ. อย่างไรก็ดี ค่าใช้จ่าย SG&A ที่ลดลงอย่างแท้จริงอาจน้อยลงไปอีกเนื่องจาก MAJOR เพิ่งขายหน่วยธุรกิจการผลิตภาพยนตร์ไปให้กับพันธมิตรธุรกิจ
แนวโน้ม ข้อมูลอัปเดตภาพยนตร์ box office ของเราสะท้อนถึงการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของภาพยนตร์ blockbuster เช่น Guardians of the Galaxy (รายได้รวมจากวันที่เข้าฉายนถึงขณะนี้อยู่ที่ 165 ลบ. และ Fast X (248 ลบ. และยังเข้าฉายอยู่) ขณะที่ภาพยนตร์ blockbuster ที่รอเข้าฉาย ได้แก่ 1) Spiderman 2) Transformers 3) The Flash 4)Elemental และ 5) Indiana Jones จำนวนภาพยนตร์ blockbuster ที่มีศักยภาพในไตรมาส 2/2566 มากกว่าในตรมาส 2/2565 และใกล้เคียงกับในไตรมาส 2/2562
ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ราคาหุ้น MAJOR ลดลง 15% YTD เทียบกับ SET Index ที่ลดลง 8% ขณะเดียวกัน ราคาหุ้นขณะนี้ซื้อขายด้วย core EPS ปี 2566/67 ที่ 26 เท่า/16 เท่า เทียบกับ PER ปี 2562 ที่ 19 เท่า
แนะนำ "ซื้อ" ฝ่ายวิจัยคงประมาณการกำไรปกติปี 2566-68 ราคาเป้าหมายสินปี 2566 ที่ 19.1 บาท และคำแนะนำ "ซื้อ" MAJ0R ปัจจัยหนุนราคาหุ้นคาดจะมาจาก 1) เงินปันผลพิเศษจากการขายเงินลงทุน และ 2) ช่วงไฮซีซั่นของภาพยนตร์ blockbuster ในไตรมาส 2/2566 ราคาหุ้นค่อนข้างถูกจากความไม่สัมพันธ์ระหว่างมูลค่าองค์กรปี 2567/62 ที่ 52% และ core EPS ปี 2567/62 ที่ 72% ฝ่ายวิจัยคำนวณมูลค่าธุรกิจภาพยนตร์ที่ 16.8 บาท ลดลง 29.1% จากคาดการณ์เดิม ขณะเดียวกัน ฝ่ายวิจัยคำนวณมูลค่าการลงทุนใน MAJOR ที่ 2.1 บาท (0.43 บาท จาก MJLF, 0.55 บาท จาก WORK และ 1.08 บาท จาก TKN)
Downside risks คาดจะมาจาก 1) จำนวนภาพยนตร์ที่ทยอยกลับเข้ามาฉายในโรงภาพยนตร์อย่างช้า ๆ 2) จำนนภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่รอเข้าฉายน้อยลงจากสภาวะเศษฐกิจถดถอยในประเทศเศรษฐกิจหลักและ 3)การขาดหายไปของปริมาณและคุณภาพของภาพยนตร์ไทย