ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) หรือที่เรียกกันโดยย่อว่า เอไอ (AI) เป็นสิ่งที่ได้รับความสนใจและถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่องยาวนานหลายทศวรรษ ทั้งในวงการวิชาการ ตลอดจนวงการบันเทิง ภาพยนตร์ การ์ตูนแอนิเมชัน และสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ จึงอาจกล่าวได้ว่ามนุษย์ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีนี้อย่างต่อเนื่อง แต่ก็มีความกังวลจากผู้ที่เกี่ยวข้องในแวดวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีบางกลุ่มถึงการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ว่า หากการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ถึงขั้นสูงสุดอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดีต่อมนุษย์ได้ในอนาคตประวัติของปัญญาประดิษฐ์เริ่มต้นตั้งแต่สมัยยุคกรีกโบราณ แนวคิดที่เป็นรากฐานสำคัญของปัญญาประดิษฐ์ได้ถือกำเนิดขึ้นโดยนักปราชญ์ที่มีชื่อว่า อริสโตเติล ได้คิดค้นการแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างมวลสาร (Matter) กับรูปแบบ (Form) ซึ่งต่อมาได้พัฒนากลายเป็นพื้นฐานการคำนวณเชิงสัญลักษณ์ ในยุคถัดมาแนวคิดนี้ได้ถูกนักคณิตศาสตร์หลายท่านนำมาสานต่อ วงการปัญญาประดิษฐ์จึงถือว่าแนวคิดของอริสโตเติลเป็นจุดก่อกำเนิดของศาสตร์แขนงนี้ปัญญาประดิษฐ์ที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน ได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการราวปี ค.ศ.1956 โดย จอห์น แมคคาร์ธี (John McCarthy) ร่วมกับนักวิจัยจากสถาบันอื่น ๆ ได้ทำการวิจัยร่วมกัน ในมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน เรื่องทฤษฎีอัตโนมัติ โครงข่ายใยประสาทและศึกษาเรื่อง ความฉลาด (Intelligence) โดยจอห์น แมคคาร์ธี ได้ตั้งชื่อให้กับศาสตร์สาขาใหม่นี้ว่า Artificial Intelligence หรือ AI นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ในเวลาต่อมาหลังจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ได้ถือกำเนิดขึ้น เทคโนโลยีนี้ก็ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของวงการวิทยาศาสตร์ จากที่ปัญญาประดิษฐ์เป็นเพียงจินตนาการของมนุษย์และถูกพูดถึงแต่ในสื่อบันเทิงหรือนิยายวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ในปัจจุบันได้เกิดเป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ จากปัญญาประดิษฐ์มากมายที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ โดยประโยชน์ของปัญญาประดิษฐ์แบ่งออกเป็นสองประการดังนี้ประการแรก คือ ด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ได้เข้ามามีบทบาทในการช่วยลดต้นทุนการทำธุรกรรม (Transaction cost) การอำนวยความสะดวกทางด้านเศรษฐกิจ และในด้านอุตสาหกรรมต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น ด้านการธนาคาร ใช้ในการประมวลข้อมูลของลูกค้า การอนุมัติสินเชื่อต่าง ๆ การใช้บัตรเงินสดอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ส่วนในด้านอุตสาหกรรมบางประเภท เริ่มมีการใช้หุ่นยนต์เพื่อลดต้นทุนหรือเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการผลิตและการจัดการ นอกจากนี้ปัญญาประดิษฐ์ยังถูกใช้ในการพยากรณ์ความต้องการการใช้ไฟฟ้าในอนาคตของโรงงานผลิตไฟฟ้าอีกด้วยประการที่สอง คือ ด้านสังคม ปัญญาประดิษฐ์ก่อให้เกิดนวัตกรรมทางสังคมต่าง ๆ อาทิ เทคโนโลยีทางการแพทย์ โดยการใช้หุ่นยนต์เป็นเครื่องมือในการผ่าตัด การช่วยชีวิตผู้ป่วย เป็นต้น และใช้ในการทำงานแทนมนุษย์ที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ โดยอาจเป็นงานที่เสี่ยงอันตราย เช่น การใช้หุ่นยนต์ในการสำรวจพื้นที่ที่ปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีหรือพื้นที่ที่มนุษย์ยากจะเข้าถึง เป็นต้นการพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ รวมถึงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ย่อมส่งผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ทั้งต่อตัวมนุษย์เอง และต่อสังคมโดยรวม โดยผลกระทบนั้นอาจส่งผลทั้งในทางที่ดีและในทางลบซึ่งผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับมนุษย์โดยตรง เห็นได้จากในปัจจุบันวงการอุตสาหกรรมมีแนวโน้มที่จะนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในกระบวนการผลิตมากขึ้น ซึ่งทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพ ถูกต้อง รวดเร็ว แต่ก็ส่งผลทำให้แรงงานไร้ฝีมือจำนวนมากที่ทำงานในสายการผลิตต้องตกงาน ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาด้านอื่นตามมา ถึงแม้จะมีผลกระทบในทางลบอยู่บ้าง แต่มนุษย์เองก็ได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้ในชีวิตประจำวัน เช่น สื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ อาทิ เฟซบุ๊กหรือทวิตเตอร์เองก็ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการคาดเดาพฤติกรรมของผู้ใช้ว่าผู้ใช้ชอบหรือมีความสนใจในเรื่องใด โดยผ่านการเก็บสถิติจากการใช้งาน แล้วนำมาประมวลผลส่งออกมาปรากฏให้ผู้ใช้เห็น ในรูปแบบของฟีดข่าวหรือโฆษณา ที่มีแต่สิ่งที่ผู้ใช้สนใจขึ้นมาเป็นอันดับแรก เพื่อให้ผู้ใช้มีความสะดวกในการเข้าถึงสิ่งที่ตัวเองชอบมากที่สุด ซึ่งทำให้เกิดประโยชน์ในด้านธุรกิจโฆษณาที่สามารถทำรายได้จากการขายสินค้าและบริการมากขึ้นผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสังคม เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์นอกจากจะส่งผลกระทบต่อมนุษย์แล้วยังส่งผลต่อสังคมด้วย โดยปัญญาประดิษฐ์อาจช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตโดยรวมของคนในสังคม จากประโยชน์ของปัญญาประดิษฐ์ที่กล่าวไว้ข้างต้น การลดปัญหาอาชญากรรม ปัญหามลพิษและอุบัติเหตุ โดยการใช้ยานพาหนะไร้คนขับที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แทนที่การใช้ยานพาหนะแบบเดิม เป็นต้นเนื่องจากปัจจุบันการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย นักวิจัยและบริษัททางด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ มีแนวโน้มที่จะพัฒนานวัตกรรมเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเลียนแบบพฤติกรรม การคิด และลักษณะนิสัย ให้เหมือนมนุษย์มากขึ้น สิ่งเหล่านี้จึงเป็นข้อกังวลจากผู้ที่เกี่ยวข้องในแวดวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดจากปัญญาประดิษฐ์ในอนาคต ตัวอย่างเช่น สตีเฟน ฮอว์คิง นักฟิสิกส์ระดับโลกได้พูดถึงเรื่องปัญญาประดิษฐ์ว่า “อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษยชาติถึงจุดจบได้” แต่ฮอว์คิงก็ยังกล่าวต่อไปว่า “สถานะของการวิจัยและพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ในขณะนี้ยังไม่ใช่ภัยคุกคามแต่อย่างใด แต่การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์เต็มรูปแบบที่ทำให้มีศักยภาพเหนือกว่ามนุษย์ทั้งในด้านสติปัญญาและกายภาพนั้นอันตราย เพราะเมื่อไปถึงจุดนั้นแล้ว ปัญญาประดิษฐ์ก็จะสามารถพัฒนาตัวเอง ออกแบบตัวเองใหม่ ด้วยอัตราการพัฒนาที่รวดเร็ว ซึ่งมนุษย์ที่มีวิวัฒนาการอย่างช้า ๆ นั้นไม่อาจเทียบได้และจะถูกแซงหน้าไปในที่สุด”ภาพสตีเฟน ฮอว์กิงแต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วยกับ สตีเฟน ฮอว์คิง โดยอาบู มอสตาฟา ศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมไฟฟ้าและวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่ สถาบันเทคโนโลยีแห่งแคลิฟอร์เนีย (California Institute of Technology) มองว่า “พัฒนาการของปัญญาประดิษฐ์ในปัจจุบันนั้น แม้จะก้าวหน้าไปมาก แต่ยังไม่ถึงระดับที่จะยืนยันได้ว่าภัยคุกคามจากปัญญาประดิษฐ์นั้นจะเกิดขึ้นจริง แต่การที่เทคโนโลยีต่าง ๆ อย่างพวกสมาร์ทโฟน ได้พัฒนาไปมาก ก็อาจจะทำให้คนทั่วไปเริ่มเชื่อในเรื่องราวจำพวกนิยายวิทยาศาสตร์ได้ง่ายขึ้น”จากข้างต้นจะเห็นได้ว่าสิ่งที่ศาสตราจารย์อาบู มอสตาฟา และสตีเฟน ฮอว์คิง มีความเห็นบางส่วนไปในทางเดียวกันก็คือ ในปัจจุบันมนุษย์ยังไม่มีเทคโนโลยีถึงขั้นที่จะทำให้ปัญญาประดิษฐ์พัฒนากลายเป็นภัยคุกคามที่เป็นอันตรายต่อมนุษยชาติ เพราะปัจจุบันนี้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพียงแต่เราอาจจะไม่ได้รับรู้ถึงตัวตนของปัญญาประดิษฐ์อย่างชัดเจน ซึ่งบริษัทด้านเทคโนโลยีรายใหญ่หลายแห่ง ต่างก็ใช้ปัญญาประดิษฐ์เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในมุมมองของผู้เขียนมองว่าถึงแม้ในปัจจุบันปัญญาประดิษฐ์ยังไม่เป็นภัยคุกคามต่อมนุษย์ เพราะข้อจำกัดทางด้านเทคโนโลยี แต่ในอนาคตก็เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนว่า มนุษย์จะสามารถพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ถึงขั้นสูงสุด จนปัญญาประดิษฐ์มีพัฒนาการ สามารถรับรู้ความรู้สึก และมีความคิดแบบเดียวกับมนุษย์ ซึ่งนั่นจะส่งผลดีเป็นอย่างมากถ้าปัญญาประดิษฐ์ถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างสร้างสรรค์ แต่ถ้าปัญญาประดิษฐ์ถูกนำไปใช้งานอย่างผิด ๆ ก็จะส่งผลเสียและอาจนำมาสู่จุดจบของมวลมนุษยชาติได้ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันการใช้งานในทางที่ผิด รวมถึงหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดจากปัญญาประดิษฐ์ อาทิ การต่อต้านหรือแสดงการคุกคามอันเป็นภัยต่อมนุษย์ที่ในปัจจุบันหลายฝ่ายแสดงความกังวลต่อประเด็นเหล่านี้ ผู้เขียนคิดว่าเมื่อถึงเวลานั้นมนุษย์อาจจะต้องตั้งกฎในการควบคุมการใช้งานไม่ให้มนุษย์ใช้ปัญญาประดิษฐ์เป็นเครื่องมือในการทำลายล้างมนุษย์ด้วยกันเอง รวมถึงจำกัดความคิดของปัญญาประดิษฐ์เพื่อเป็นบรรทัดฐานในการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์กับปัญญาประดิษฐ์อย่างปลอดภัยและเกิดประโยชน์สูงสุดอ้างอิง"ความท้าทายของโลก AI - เก่งเกินไป ซับซ้อนเกินไป จนผู้สร้างก็ไม่เข้าใจว่ามันทำงานอย่างไร." https://www.blognone.com/node/91663"ปัญญาประดิษฐ์ เอกสารคำสอนวิชา 2110654." http://www.cp.eng.chula.ac.th/~boonserm/teaching/artificial.htm"Stephen Hawking says AI could 'end human race'." http://www.computerworld.com/article/2854997/stephen-hawking-says-ai-could-end-human-race.htmlเครดิตรูปภาพภาพหน้าปกจาก Pixabayภาพประกอบที่ 1 จาก Pixabayภาพประกอบที่ 2 จาก Pixabayภาพประกอบที่ 3 จาก Pixabay