ในยุคที่เกมแอคชั่น RPG ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด เกมเก่าๆ หลายเกมมักถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา แต่สำหรับ Drakengard 1 แล้ว มันยังคงเป็นเกมที่ฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของใครหลายคน ด้วยเนื้อเรื่องที่เต็มไปด้วยความมืดหม่น ตัวละครที่มีปมปัญหา และฉากจบอันน่าตกใจที่ชวนให้ขบคิด แม้กาลเวลาจะผ่านมานานกว่า 20 ปีแล้ว แต่ Drakengard 1 ก็ยังคงเป็นเกมที่ควรค่าแก่การหยิบมาเล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในบทความนี้ ผมจะพาคุณย้อนรอยกลับไปสัมผัสกับ Drakengard 1 อีกครั้ง ผ่านมุมมองของผู้เล่นในยุค 2024 เราจะมาเจาะลึกกันในทุกแง่มุม ทั้งเนื้อเรื่อง, เกมเพลย์, กราฟิก, เสียงประกอบ และที่ขาดไม่ได้คือประสบการณ์ส่วนตัวของผมระหว่างการเล่นเกมนี้ ถ้าพร้อมแล้วก็ติดตามกันได้เลยครับ เนื้อเรื่อง: โศกนาฏกรรมแห่งสงครามและความบ้าคลั่ง Drakengard 1 เล่าเรื่องราวของ Caim อัศวินผู้เย็นชาที่สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปในสงคราม เขาเห็นน้องสาวของตัวเองถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา บ้านเมืองถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง ความแค้นทำให้เขาตัดสินใจทำพันธสัญญากับมังกรแดง Angelus เพื่อแลกกับพลังในการต่อสู้ Caim และ Angelus ต้องร่วมมือกันต่อสู้กับเหล่าปีศาจและกองทัพจักรวรรดิ์ ระหว่างทางพวกเขาได้พบกับตัวละครที่มีปมหลังอันน่าเศร้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็น Furiae น้องสาวของ Caim ที่ถูกสาปให้กลายเป็นเทพธิดาแห่งผีเสื้อ เธอต้องทนทุกข์ทรมานจากคำสาปที่ทำให้เธอไม่สามารถสัมผัสใครได้ Arioch หญิงสาวผู้ถูกปีศาจสิงสู่ เธอต้องต่อสู้กับปีศาจร้ายที่อยู่ในร่างของเธอเอง และ Inuart อัศวินผู้หลงรัก Furiae อย่างบ้าคลั่ง เขาพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ครอบครองเธอ แม้ว่าจะต้องทรยศต่อเพื่อนพ้องของตัวเองก็ตาม สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดใน Drakengard 1 คือเนื้อเรื่องที่เต็มไปด้วยความมืดหม่น ตัวละครแต่ละตัวล้วนมีบาดแผลในจิตใจ ไม่มีใครเป็นคนดีหรือคนเลวอย่างแท้จริง การกระทำของพวกเขาล้วนถูกขับเคลื่อนด้วยความสิ้นหวัง ความแค้น และความรักที่ผิดเพี้ยน ยิ่งเล่นไปเรื่อยๆ ผมยิ่งรู้สึกอินกับตัวละครเหล่านี้ และอยากรู้ว่าชะตากรรมของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป ตัวอย่างเช่น ในตอนแรกผมรู้สึกเกลียด Inuart มาก เพราะเขาเป็นตัวละครที่เห็นแก่ตัวและชอบทำร้ายคนอื่น แต่พอได้รู้เบื้องหลังของเขา ผมก็เริ่มเข้าใจและเห็นใจเขามากขึ้น จุดเด่นอีกอย่างของ Drakengard 1 คือฉากจบที่มีให้เลือกมากถึง 5 แบบ แต่ละแบบล้วนหดหู่และน่าตกใจแตกต่างกันไป เช่น Ending A ที่ Caim ต้องฆ่า Furiae เพื่อช่วยโลก Ending B ที่ Caim ถูก Inuart ฆ่าตาย Ending C ที่ Arioch เสียสละตัวเองเพื่อผนึกปีศาจ Ending D ที่ Angelus กลายเป็นมังกรบ้าคลั่ง และ Ending E ที่ Caim และ Angelus ต้องต่อสู้กับเทพเจ้าในโลกปัจจุบัน ตอนที่ผมเล่นจบครั้งแรก ผมเลือก Ending E แบบไม่รู้ตัว และต้องอึ้งไปนานกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นฉากจบที่แปลกประหลาดและชวนให้ขบคิดมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาในเกม RPG ผมยังจำความรู้สึกตอนที่เห็น Caim และ Angelus บินไปโจมตีตึกในเมืองโตเกียวได้ดี มันเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายและทำให้ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า "นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย?" เกมเพลย์: การต่อสู้สุดมันส์บนหลังมังกร Drakengard 1 เป็นเกมแอคชั่น RPG ที่มีระบบการต่อสู้แบบ Hack and Slash เราสามารถควบคุม Caim ต่อสู้กับศัตรูบนพื้นดินได้อย่างอิสระ อาวุธของ Caim มีให้เลือกใช้หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นดาบ หอก และธนู แต่ละชนิดก็มีท่าโจมตีและความรุนแรงที่แตกต่างกันไป เช่น ดาบจะมีความเร็วในการโจมตีสูง แต่พลังโจมตีต่ำ ส่วนหอกจะมีพลังโจมตีสูง แต่ความเร็วในการโจมตีต่ำ เราสามารถเลือกใช้อาวุธให้เหมาะสมกับสถานการณ์และศัตรูที่ต้องเผชิญ นอกจากการต่อสู้บนพื้นดินแล้ว เรายังสามารถขึ้นขี่ Angelus บินไปต่อสู้บนท้องฟ้าได้อีกด้วย การต่อสู้กลางอากาศให้ความรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจมาก เราสามารถบังคับ Angelus พ่นไฟ ยิงลูกไฟ และโจมตีด้วยกรงเล็บ ศัตรูบนท้องฟ้าก็มีหลากหลายแบบ เช่น มังกร นกยักษ์ และเรือเหาะ การต่อสู้กับศัตรูแต่ละแบบก็ต้องใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างกันไป เช่น การต่อสู้กับมังกร เราต้องหลบหลีกการโจมตีของมัน แล้วหาจังหวะเข้าไปโจมตีตอนที่มันกำลังร่ายเวทย์ ส่วนการต่อสู้กับเรือเหาะ เราต้องบินเข้าไปโจมตีจุดอ่อนของมัน เช่น ใบพัด หรือห้องเครื่องยนต์ แม้ระบบการต่อสู้ของ Drakengard 1 จะไม่ได้มีความซับซ้อนมากนัก แต่ก็เล่นได้สนุกและเพลิดเพลิน โดยเฉพาะการต่อสู้บนหลังมังกรที่เป็นจุดเด่นของเกมนี้ อย่างไรก็ตาม เกมเพลย์ก็มีข้อเสียอยู่บ้าง เช่น ระบบล็อคเป้าหมายที่ยังไม่ค่อยดีนัก ทำให้บางครั้ง Caim โจมตีพลาดเป้า และ AI ของศัตรูที่ค่อนข้างง่าย ทำให้เกมอาจมีความซ้ำซากจำเจในบางครั้ง โดยเฉพาะศัตรูประเภททหารราบ ที่มักจะวิ่งเข้ามาโจมตีเราแบบไม่คิดชีวิต กราฟิก: ความงามแบบดิบๆ ในยุค PS2 ในยุคที่เกม PS2 กำลังรุ่งเรือง กราฟิกของ Drakengard 1 ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โมเดลตัวละคร ฉาก และเอฟเฟกต์ต่างๆ ถูกออกแบบมาอย่างสวยงาม โดยเฉพาะโมเดลของ Angelus ที่ดูยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม เกล็ดของมันดูสมจริง การเคลื่อนไหวก็ดูเป็นธรรมชาติ ผมชอบตอนที่ Angelus พ่นไฟใส่ศัตรู เอฟเฟกต์เปลวไฟดูอลังการมาก อย่างไรก็ตาม เมื่อมองย้อนกลับไปในยุคปัจจุบัน กราฟิกของ Drakengard 1 อาจดูล้าสมัยไปบ้าง เทกซ์เจอร์มีความละเอียดต่ำ ทำให้พื้นผิวของวัตถุดูแตกๆ ฉากบางฉากก็ดูโล่งๆ ขาดรายละเอียด แต่โดยรวมแล้ว กราฟิกของเกมนี้ก็ไม่ได้แย่จนเกินไป และยังคงสามารถถ่ายทอดบรรยากาศความมืดหม่นของเกมออกมาได้เป็นอย่างดี เช่น ฉากเมืองที่ถูกทำลาย หรือฉากต่อสู้กลางสนามรบ ที่เต็มไปด้วยซากศพและเลือด เสียงประกอบ: บทเพลงแห่งความสิ้นหวัง เสียงประกอบเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่โดดเด่นของ Drakengard 1 เพลงประกอบในเกมนี้มีทั้งความอลังการ เศร้าโศก และน่าขนลุก เพลงส่วนใหญ่เป็นเพลงคลาสสิคที่ใช้เครื่องดนตรี orchestra เช่น ไวโอลิน เชลโล และเปียโน เพลงเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างอารมณ์และบรรยากาศของเกมได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเพลง "Black Monster" ที่ใช้ในฉากต่อสู้กับบอส มันเป็นเพลงที่ฟังดูยิ่งใหญ่ ตื่นเต้น และบีบคั้นอารมณ์ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขามจริงๆ ส่วนเพลง "Golem" ที่ใช้ในฉากต่อสู้กับ Golem ก็เป็นเพลงที่ฟังดูน่าขนลุก ชวนให้รู้สึกอึดอัดและหวาดกลัว ผมยังจำได้ว่าตอนที่เล่นเกมนี้ครั้งแรก ผมต้องลดเสียงเพลงลง เพราะรู้สึกกลัวเสียงเพลงนี้มาก นอกจากเพลงประกอบแล้ว เสียงพากย์ของตัวละครก็ทำออกมาได้ดี นักพากย์แต่ละคนสามารถถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครออกมาได้อย่างสมบทบาท โดยเฉพาะเสียงพากย์ของ Caim ที่ฟังดูเย็นชา ไร้อารมณ์ สะท้อนถึงความเจ็บปวดที่เขาต้องแบกรับ ส่วนเสียงพากย์ของ Furiae ก็ฟังดูเศร้าสร้อย บอบบาง แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอและความสิ้นหวังของเธอ ประสบการณ์ส่วนตัว: ความทรงจำที่ยากจะลืมเลือน Drakengard 1 เป็นเกมที่ผมเล่นครั้งแรกในสมัยเด็ก ตอนนั้นผมยังไม่ค่อยเข้าใจเนื้อเรื่องมากนัก สนใจแต่การต่อสู้และขี่มังกร แต่พอได้กลับมาเล่นอีกครั้งในยุคปัจจุบัน ผมกลับมองเห็นอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกของตัวละคร เข้าใจความขัดแย้งในจิตใจของพวกเขา และเข้าใจถึงความโหดร้ายของสงคราม สิ่งที่ผมประทับใจมากที่สุดใน Drakengard 1 คือฉากจบ มันเป็นอะไรที่ทำให้ผมช็อคและจดจำไปอีกนาน ผมไม่เคยเห็นเกมไหนที่มีฉากจบแบบนี้มาก่อน มันทำให้ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า "ทำไมเกมนี้ถึงจบแบบนี้?" "ตัวละครเหล่านี้สมควรได้รับจุดจบแบบนี้จริงๆ หรือ?" และ "อะไรคือสิ่งที่ผู้สร้างต้องการจะสื่อ?" ผมใช้เวลาคิดอยู่นาน และในที่สุดก็พบว่า Drakengard 1 ไม่ใช่แค่เกมแอคชั่น RPG ธรรมดา แต่มันคือเกมที่สะท้อนให้เห็นถึงด้านมืดของมนุษย์ ความโหดร้ายของสงคราม และผลกระทบของการกระทำที่ผิดพลาด Drakengard 1 เป็นเกมที่มอบประสบการณ์ที่หลากหลายให้กับผม มันทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้น เศร้า กลัว และขบคิด มันเป็นเกมที่ผมจะไม่มีวันลืม และจะหยิบมาเล่นซ้ำอีกแน่นอน สรุป Drakengard 1 เป็นเกมแอคชั่น RPG ที่มีเนื้อเรื่องเข้มข้น เกมเพลย์สนุก และเสียงประกอบที่ยอดเยี่ยม แม้กราฟิกอาจดูล้าสมัยไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเล่น ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบเกมที่มีเนื้อหาหนักๆ ตัวละครมีมิติ และฉากจบที่ชวนให้ขบคิด ผมขอแนะนำ Drakengard 1 เลยครับ รับรองว่าคุณจะไม่ผิดหวัง คะแนน: 8.5/10 เครดิตภาพ ทางผู้เขียนได้ซื้อเกมนี้มาเล่นเองถ่ายรูปลงเอง เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !