กะทกรก เกิดเองตามธรรมชาติ คืออะไร กินได้ไหม | บทความโดย Pchalisa กะทกรก พืชล้มลุกที่พบเห็นได้ทั่วไปตามธรรมชาติ มักขึ้นเป็นวัชพืชในสวนหรือตามริมรั้วบ้าน ที่หลายคนอาจเคยเห็นผลสีเหลืองส้มสดใสของมัน แต่ไม่รู้ว่ากะทกรกคืออะไร กินได้หรือไม่? ในบทความนี้ผู้เขียนจะพาคุณผู้อ่านมาทำความรู้จักกับกะทกรกอย่างละเอียดค่ะ ตั้งแต่กะทกรกคืออะไร? ทำไมจึงพบเห็นได้ทั่วไปตามธรรมชาติ ส่วนไหนบ้างของกะทกรกที่กินได้? น่าสนใจแล้วใช่ไหมคะ? งั้นเรามาอ่านต่อไปพร้อมๆ กันเลยดีกว่าค่ะ กะทกรก เป็นไม้เถาเลื้อยชนิดหนึ่งค่ะ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Passiflora foetida เป็นพืชที่พบได้ทั่วไปในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะตามป่าละเมาะหรือริมทาง โดยมีลักษณะเด่น ดังนี้ เถา: มีลักษณะคดไปมา มีมือเกาะสำหรับยึดเกาะกับต้นไม้หรือสิ่งอื่นๆ ใบ: เป็นใบเดี่ยว รูปใบมนโค้ง ปลายใบแหลม และมีแฉก ดอก: มีสีขาวอมม่วง มีกลีบดอกและเกสรตัวผู้ตัวเมียที่สวยงาม ผล: เมื่อสุกจะมีสีเหลืองอมส้ม รูปร่างกลมคล้ายลูกปิงปองค่ะ และคุณผู้อ่านรู้ไหมคะว่า? กะทกรกเป็นพืชที่ปรับตัวเก่งและเจริญเติบโตได้ดีในหลายสภาพแวดล้อมค่ะ โดยทั่วไปแล้วจะพบกะทกรกขึ้นอยู่ตามบริเวณเหล่านี้ ได้แก่ ที่รกร้าง: เช่น ข้างทาง ริมรั้ว หรือพื้นที่ว่างเปล่า ป่าละเมาะ: โดยเฉพาะป่าชายหาดหรือป่าเบญจพรรณ สวน: บางครั้งก็พบกะทกรกขึ้นเป็นวัชพืชในสวนค่ะ ซึ่งเหตุผลที่กะทกรกชอบขึ้นตามบริเวณเหล่านั้น เพราะปัจจัยเหล่านี้มาสนับสนุนค่ะ ดังนี้ แสงแดด: กะทกรกเป็นพืชที่ชอบแสงแดด ดังนั้นบริเวณที่ได้รับแสงแดดจัดจึงเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตนะคะ ดิน: กะทกรกสามารถปรับตัวให้เข้ากับดินได้หลายชนิด แต่จะเจริญเติบโตได้ดีในดินที่ร่วนซุยและมีอินทรียวัตถุสูงค่ะ ความชื้น: กะทกรกต้องการความชื้นในระดับปานกลาง ดังนั้นบริเวณที่มีความชื้นพอเหมาะจึงเหมาะสมต่อการเจริญเติบโต การแพร่กระจายพันธุ์: เมล็ดของกะทกรกสามารถกระจายไปได้ไกลโดยลมหรือสัตว์ ทำให้กะทกรกสามารถขึ้นได้ในหลายพื้นที่ และกะทกรกเป็นพืชที่ขยายพันธุ์ได้ง่ายมากค่ะ ทำให้เราเห็นมันขึ้นเองตามที่รกร้าง หรือริมทางได้บ่อยๆ สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้กะทกรกเกิดเองได้นั้นมีหลายปัจจัยค่ะ เช่น เมล็ดเยอะและกระจายง่าย: กะทกรกมีเมล็ดเยอะมาก และเมล็ดเหล่านี้สามารถกระจายไปได้ไกลโดยลม น้ำ หรือติดไปกับสัตว์ ทำให้เมล็ดไปตกอยู่ในที่ต่างๆ และงอกเป็นต้นใหม่ได้ค่ะ ความสามารถในการปรับตัว: กะทกรกเป็นพืชที่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี สามารถขึ้นได้ในดินหลายชนิด และทนทานต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง วงจรชีวิตสั้น: กะทกรกมีวงจรชีวิตสั้น สามารถเติบโตและออกดอกติดผลได้อย่างรวดเร็ว ทำให้มีโอกาสขยายพันธุ์ได้บ่อยครั้ง ไม่มีคู่แข่ง: ในพื้นที่รกร้างหรือที่ว่างเปล่า มักไม่มีพืชชนิดอื่นมาแข่งขัน ทำให้กะทกรกสามารถเจริญเติบโตได้อย่างอิสระค่ะ กะทกรกเป็นพืชที่มีประโยชน์หลายอย่างนะคะ และมีส่วนประกอบที่สามารถนำมาทานได้หลายส่วนค่ะ โดยส่วนที่นิยมนำมาทานมากที่สุดคือ เยื่อหุ้มเมล็ดสีเหลืองใส ภายในผล นอกจากนี้ยอดอ่อนของกะทกรกก็สามารถนำมาประกอบอาหารได้เช่นกัน โดยผู้คนมักนิยมนำมาลวกจิ้มน้ำพริกหรือใส่แกงส้มค่ะ สำหรับผู้เขียนนั้นเคยทานเฉพาะผลสุกที่มีสีเหลืองของกะทกรกค่ะ โดยรสชาติของผลกะทกรกสุกนั้นค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะรู้สึกได้ถึงรสชาติเหล่านี้ค่ะ หวาน: มีความหวานอ่อนๆ คล้ายน้ำผึ้ง หรือน้ำหวานจากผลไม้บางชนิด เปรี้ยว: ปนเปกันไปกับความหวานเล็กน้อย ฉ่ำน้ำ: เนื้อในของผลกะทกรกเมื่อสุกจะฉ่ำน้ำ มีลักษณะคล้ายวุ้นใสๆ ค่ะ หอม: มีกลิ่นหอมอ่อนๆ เป็นเอกลักษณ์ของผลไม้ชนิดนี้นะคะ ซึ่งรสชาติโดยรวมจะคล้ายๆ กับการผสมผสานระหว่างรสชาติขององุ่นที่เปรี้ยวหวานกับแตงโมค่ะ โดยความหวานอมเปรี้ยวและความฉ่ำน้ำที่เป็นเอกลักษณ์ของผลกะทกรกเขาเลยนะคะ แต่รสชาติของผลกะทกรกอาจแตกต่างกันไปเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และสภาพแวดล้อมในการเจริญเติบโต และมีหลายเหตุผลที่ทำให้คนรู้จักว่ากะทกรกทานได้ค่ะ โดยหลักๆ แล้วมาจากประสบการณ์ตรงและการถ่ายทอดทางวัฒนธรรม ที่คนรุ่นก่อนๆ มักมีวิถีชีวิตที่ใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น จึงเรียนรู้ที่จะหาอาหารจากธรรมชาติ รวมถึงกะทกรก ซึ่งเป็นพืชที่พบเห็นได้ทั่วไปตามธรรมชาติ คนในชุมชนอาจลองผิดลองถูกในการนำพืชต่างๆ มาประกอบอาหาร ซึ่งรวมถึงกะทกรกด้วย และพบว่าผลสุกของกะทกรกมีรสชาติอร่อยและทานได้ค่ะ อีกทั้งการมีความรู้เรื่องพืชสมุนไพรและพืชอาหารต่างๆ ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นผ่านคำบอกเล่า เรื่องเล่า หรือตำราสมุนไพร ทำให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ว่ากะทกรกสามารถนำมาทานได้ อีกทั้งในหลายชุมชนมีการนำกะทกรกมาปรุงเป็นอาหารพื้นบ้าน เช่น ผสมในสลัด หรือทำเป็นเครื่องดื่ม ทำให้คนในชุมชนคุ้นเคยกับการทานกะทกรกนะคะปัจจุบันมีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับกะทกรกผ่านสื่อต่างๆ เช่น หนังสือ สื่อออนไลน์ บทความ ทำให้คนทั่วไปเข้าถึงข้อมูลและรู้จักประโยชน์ของกะทกรกมากขึ้น แถมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรทำให้ผู้คนได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน และได้เรียนรู้เกี่ยวกับพืชผักพื้นเมือง รวมถึงกะทกรกด้วยค่ะ นอกจากนี้กะทกรกยังมีลักษณะที่ดึงดูดให้คนอยากลองทานอีกด้วย เช่น ผลมีสีสันสดใส: เมื่อผลสุกจะมีสีเหลืองอมส้ม หรือสีม่วง ซึ่งดูน่าทาน มีกลิ่นหอมอ่อนๆ: กลิ่นของผลกะทกรกจะหอมอ่อนๆ ชวนให้อยากลิ้มลอง รสชาติหวานอมเปรี้ยว: รสชาติของผลกะทกรกมีความลงตัวระหว่างความหวานและความเปรี้ยว ทำให้หลายคนชื่นชอบ ปัจจุบันผู้เขียนยังมีโอกาสได้ทานกะทกรกค่ะ แต่จะเลือกเฉพาะลูกขนาดใหญ่เท่านั้น เพราะเคยลองลูกเล็กๆ มาบ่อย และพบว่าด้านในไม่มีส่วนที่ทานได้ค่ะ คล้ายๆ ไม่สมบูรณ์ ปกติกะทกรกไม่มีคนเก็บมาขายนะคะ คือตั้งแต่ผู้เขียนจำความได้จนถึงตอนนี้ยังไม่เคยเห็นใครนำมาขาย แต่กะทกรกสามารถเก็บได้ฟรีๆ หากเราเจอผลสุกค่ะ ที่โดยส่วนใหญ่แล้วผู้เขียนจะเจอกะรกทกตามข้างทาง สันเขื่อน หรือตามทุ่งนาค่ะ ก็ไม่รู้ว่าคุณผู้อ่านสนใจเรื่องกะทกรกในประเด็นไหน แต่ถ้าอยากลองทานผลกะทกรก ต้องลองไปตามแหล่งที่เขาเกิดได้เองตามธรรมชาติ ตามที่ได้พูดถึงไว้แล้วข้างต้นค่ะ มีแน่นอนต่อให้ไม่ได้เป็นแหล่งที่เป็นดินดีและอุดมสมบูรณ์มากก็ตาม และผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หากชอบบทความแบบนี้อีก ก็อย่าลืมกดติดตามหรือกดบุ๊กมาร์กหน้าโปรไฟล์ไว้นะคะ เพราะจะได้ไม่พลาดบทความใหม่ๆ ที่จะได้นำมาเผยแพร่ในเร็วๆ นี้ค่ะ เครดิตภาพประกอบบทความ ภาพหน้าปกและภาพประกอบเนื้อหาโดยผู้เขียน ออกแบบภาพหน้าปกใน Canva เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา : พยาบาลศาสตรบัณฑิต (B.N.S.) จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม); M.P.H. (Environmental Health) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ : สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การจัดการน้ำเสียและสิ่งปฏิกูล บทความอื่นที่น่าสนใจโดย Pchalisa https://news.trueid.net/detail/r3RrRrWzOOa3 https://food.trueid.net/detail/3JnOz5bXgyKL https://news.trueid.net/detail/Rw3X2qm3gGZW เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !