Live ขาย สุดปัง! ด้วยพลัง Influencer ปลุกกระแส "ทุเรียนฟีเวอร์" ในตลาดจีน

ทุเรียนไทย ผงาดสู่แดนมังกร ด้วยพลัง Influence 

ปรากฏการณ์ "ทุเรียนไทย" ได้สร้างความฮือฮาให้เกิดขึ้นอีกครั้งในตลาดจีน เมื่อความร่วมมืออย่างแข็งขันของภาครัฐและเอกชน ได้ผนึกกำลังกับ Influencer ชื่อดัง ในการโปรโมตและจัดจำหน่ายทุเรียนผ่านช่องทางออนไลน์อย่างสร้างสรรค์ ส่งผลให้ยอดขายทุเรียนไทยในจีนพุ่งทะยานทะลุหลัก 100 ล้านบาท ภายในระยะเวลาเพียง 3 วัน 

นับเป็นความสำเร็จที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพของกลยุทธ์การตลาดยุคดิจิทัล และศักยภาพอันโดดเด่นของทุเรียนไทย ในการเข้าถึงและครองใจผู้บริโภคชาวจีนได้เป็นอย่างดี

Influencer Marketing กลยุทธ์การตลาดแห่งยุค

การนำเสนอทุเรียนผ่านอินฟลูเอนเซอร์ระดับแม่เหล็กอย่าง Mr. Li Kai และ Mr. Li Wen Long ซึ่งมีฐานแฟนคลับจำนวนมหาศาล ถือเป็นกลยุทธ์การตลาดที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการ Live ขายสินค้าแบบเรียลไทม์ ที่สร้างประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นและกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ ทำให้ยอดขายทุเรียนไทยพุ่งทะยานอย่างน่าทึ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Influencer Marketing คือกุญแจสำคัญในการเจาะตลาดยุคดิจิทัล

รัฐ-เอกชน จับมือขับเคลื่อนการค้า

ไม่เพียงแค่กลยุทธ์การตลาดเท่านั้น ความสำเร็จของทุเรียนไทยในจีนยังเกิดจากการประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนอย่างใกล้ชิด โดย นายภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และทีมพาณิชย์จังหวัดจันทบุรี ได้อำนวยความสะดวกด้านการค้าและขนส่ง รวมถึงควบคุมคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐาน 

ในขณะที่ผู้ประกอบการไทยก็นำความเชี่ยวชาญด้านสินค้าและตลาดมาปรับใช้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคจีน การผนึกกำลังครั้งนี้จึงถือเป็นต้นแบบของความร่วมมือที่จะช่วยผลักดันการส่งออกสินค้าเกษตรไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในอนาคต

ตลาดจีน ดินแดนแห่งโอกาสทองของทุเรียนไทย

ด้วยประชากรกว่า 1,400 ล้านคน และกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นของชนชั้นกลาง จีนจึงเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของผู้ประกอบการทุเรียนไทย ในปี 2566 ผลไม้ไทยมีสัดส่วนถึง 18.2% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยไปจีนทั้งหมด โดยทุเรียนสดครองแชมป์ผลไม้ส่งออกอันดับหนึ่ง แม้ปี 2567 การส่งออกทุเรียนสดไปจีนจะเติบโตชะลอลงเหลือ 12% จากฐานที่สูงในปีก่อน แต่ก็ยังมีมูลค่ากว่า 4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนถึงศักยภาพและความต้องการทุเรียนไทยในตลาดจีนที่ยังคงสูงอยู่

ท่ามกลางการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นจากประเทศคู่แข่ง ทุเรียนไทยยังมีโอกาสขยายส่วนแบ่งตลาดด้วยคุณภาพที่เหนือชั้น ประกอบกับกลยุทธ์การตลาดสร้างสรรค์ผ่านโลกออนไลน์ อย่าง Influencer Marketing ที่ช่วยเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายได้ตรงจุด จะช่วยสร้างการรับรู้ในแบรนด์ เพิ่มมูลค่าการส่งออก และกระจายรายได้สู่เกษตรกรไทยได้มากขึ้น จึงเป็นความท้าทายสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน เพื่อผลักดันให้ทุเรียนไทยครองใจผู้บริโภคชาวจีนอย่างยั่งยืนต่อไป

ไทยแลนด์ 4.0 ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม 

การส่งออกผลไม้คุณภาพ โดยเฉพาะทุเรียนไปยังจีน ไม่เพียงสร้างรายได้เข้าประเทศเท่านั้น แต่ยังช่วยกระจายรายได้สู่เกษตรกร และสร้างการจ้างงานในอุตสาหกรรมต่อเนื่องอีกมากมาย นับเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยแลนด์ 4.0 ที่มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยนวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมด้านการผลิต การตลาด หรือโลจิสติกส์ ซึ่งจะช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรมผลไม้ไทยเติบโตอย่างยั่งยืนบนเวทีการค้าโลก

วางแผนรับมือความท้าทายในตลาดจีน

อย่างไรก็ตาม การทำตลาดจีนก็ยังมีความท้าทายที่รออยู่ ทั้งในแง่ของกฎระเบียบนำเข้าที่เข้มงวด การแข่งขันจากคู่แข่งต่างชาติ และความผันผวนของอุปสงค์และราคา ผู้ส่งออกไทยจึงต้องศึกษาตลาดอย่างลึกซึ้ง วางแผนการตลาดอย่างรัดกุม และสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรในท้องถิ่น เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดจีนได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน รวมถึงการผลักดันความตกลงการค้าเสรีไทย-จีน ที่จะช่วยลดอุปสรรคทางการค้า และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับสินค้าไทยมากยิ่งขึ้น

สรุป:

ความสำเร็จครั้งนี้ของทุเรียนไทยในแดนมังกร ไม่เพียงแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของผลไม้ไทยในเวทีโลกเท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัล ทั้งในด้านการใช้นวัตกรรมและกลยุทธ์ทางการตลาด รวมถึงการสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างใกล้ชิด 

หากผู้ส่งออกไทยสามารถผสานจุดแข็งเหล่านี้เข้ากับการรักษามาตรฐานและความแตกต่างของสินค้า ก็จะสามารถเปิดประตูสู่ตลาดจีนได้อย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น และยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นครัวผลไม้คุณภาพของโลกได้อย่างภาคภูมิ

เรียบเรียง : ยศไกร รัตนบรรเทิง บรรณาธิการ TNN 

แหล่งที่มาข้อมูล

ปริมาณการส่งออกทุเรียน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย https://www.kasikornresearch.com/en/analysis/k-econ/business/Pages/Export-Fruit-EBR4036-16-02-2024.aspx

กระทรวงพาณิชย์