รีเซต

‘ชัชชาติ’ แลนด์สไลด์ นักวิชาการชี้ 4 ปัจจัย พังสถิติ

‘ชัชชาติ’ แลนด์สไลด์ นักวิชาการชี้ 4 ปัจจัย พังสถิติ
มติชน
24 พฤษภาคม 2565 ( 07:37 )
162

แม้คาดการณ์ได้จากโพลสำนักต่างๆ ที่สำรวจออกมาตรงกันว่า ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เบอร์ 8 ในนามอิสระจะคว้าชัย นั่งเก้าอี้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนต่อไป และผลเลือกตั้ง ออกมา เป็นไปตามการคาดหมาย ไม่พลิกโผ แต่ที่ใครต่อใคร ไม่คาดคิด ก็คะแนนที่คนกรุงเทพฯ เทโหวต ให้ชนะเลือกตั้งอย่างท่วมท้น แลนด์สไลด์ พังสถิติเดิมของ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ุ บริพัตร แห่งพรรคประชาธิปัตย์ไปด้วยคะแนนเสียง 1,386,769 มากที่สุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.

 

เหตุใด ชัชชาติ ถึงได้รับความนิยมถึงเพียงนี้ นักวิชาการวิเคราะห์ มีคำตอบ เริ่มจาก พนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวว่า ที่มาของชัยชนะอย่างถล่มทลาย ม้วนเดียวจบว่า แบ่งออกเป็น 4 ข้อด้วยกัน ได้แก่ 1.ชัชชาติตั้งใจจริง 2.การลงมือหาเสียงมาถึง 2 ปี 3.วิสัยทัศน์ที่กว้างไกล มองเห็นปัญหาชัดเจนจึงรู้ว่าควรแก้อย่างไร และ 4.ชัชชาติเป็นคนมีความรู้ มีประสบการณ์ในทางการบริหารจัดการเป็นอย่างดี

 

“ผมคิดว่านายชัชชาติมองปัญหาชัดเจน ที่สำคัญคือมีวิสัยทัศน์ในการที่จะมองมีความเป็นมนุษยนิยม เห็นอกเห็นใจประชาชนคนกรุงเทพฯที่ยากไร้โดยแท้จริง ลงไปสัมผัสกับคนกรุงเทพฯซึ่งเป็นคนกรุงเทพฯแท้ๆ เรียกได้ว่าเป็นคนกรุงเทพฯเสียงข้างมากก็ได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนยากจนอยู่ชุมชนแออัดอะไรทั้งหลายแหล่ เพราะฉะนั้นจึงมองเห็นว่าปัญหาต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ น่าจะหาทางแก้ไขได้โดยวิธีการทางไหนบ้าง โดยอาศัยความรู้และประสบการณ์ของตนเอง ตลอดเวลาที่ทำงานในภาครัฐ ภาคเอกชนเท่าที่ผ่านมา วิชาชีพที่ร่ำเรียนมาก็เป็นวิศวกรเพราะฉะนั้นการมองปัญหาอะไรต่างๆ ในกรุงเทฯ จะต้องอาศัยการแก้ปัญหา ซึ่งในวิศวกรรมนั้นมีอยู่มาก”

ไม่เพียงประเด็นเรื่องความรู้ ความสามารถ และวิสัยทัศน์ แน่นอนว่า ไม่อาจปฏิเสธถึงอีกปัจจัยสำคัญ นั่นคือ ‘ท่าทีทางการเมือง’ ซึ่งมีลักษณะ ‘ปรองดอง’

“คิดว่าเหตุผลที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือนายชัชชาติมีท่าทีในทางการเมืองในลักษณะที่เป็นการปรองดอง คือมองว่าการที่จะแก้ไขปัญหาบ้านเมืองได้จะต้องหาทางให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้ สิ่งที่รับรู้หรือเห็นต่างกันได้ อย่าทะเลาะกันอย่าโกรธกัน อันนี้เป็นนิมิตหมายที่ดี แล้วก็ชนะใจคนกรุงเทพฯ ทำให้คนกรุงเทพฯมีความหวังว่าในที่สุดจะได้คนที่ดีจริง เก่งจริงเข้ามาแก้ไขปัญหาบ้านเมืองได้” อดีตคณบดีนิติศาสตร์ มธ.กล่าว ก่อนวิเคราะห์ต่อไปว่า

การที่คนกรุงเทพฯต้องอดทนมาถึง 8 ปีเต็มกับสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง กล่าวคือ นับตั้งแต่มีการรัฐประหาร มีการใช้อำนาจเผด็จการในการปกครองบ้านเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารงานของกรุงเทพฯ แทนที่จะให้ประชาชนคนกรุงเทพฯเลือก กลับเอาคนของตัวเองขึ้นมาเพื่อมาเป็นผู้ว่าฯกทม. ซ้ำยังปลดผู้ว่าฯกทม.ที่มาจากการเลือกตั้งแล้วไปแต่งตั้งคนที่ไม่มีประสบการณ์ในการบริหารงานแบบท้องถิ่นขึ้นมาเป็นผู้ว่าฯกทม.

 

“คนกรุงเทพฯต้องทนกับสิ่งนี้มาเป็นระยะเวลานานมาก อันนี้เป็นเหตุผลอันหนึ่งด้วยที่ทำให้ทุกคนต้องการอยากแสดงประชามติ เรียกว่านี่เป็นประชามติของคนกรุงเทพฯ และอาจจะเป็นของคนไทยทั้งประเทศก็ได้ ว่าไม่ต้องการการปกครองบ้านเมืองในแบบนี้อีกต่อไปแล้ว นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนของคนกรุงเทพฯ อาจจะเรียกว่าเป็นเอกฉันท์เลยก็ได้ เพราะว่าทุกเขตนายชัชชาติชนะหมด” พนัสกล่าว ถามว่าอันดับคะแนนเสียงการเลือกตั้ง

 

ผู้ว่าฯกทม. และส.ก.สะท้อนให้เห็นการเมืองในภาพใหญ่อย่างไรบ้าง? อดีตคณบดีนิติศาสตร์ มธ.มองว่า คะแนนของ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ซึ่งได้อันดับ 5 นั้น ไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะก่อนหน้านี้ไม่ได้มาด้วยการเลือกตั้งจากประชาชนอยู่แล้ว ส่วนเรื่องสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ที่พรรคเพื่อไทยและก้าวไกลชนะเป็นส่วนใหญ่ คือการส่งสัญญาณของคนกรุงเทพฯเช่นเดียวกัน เพราะอย่าลืมว่าพรรคก้าวไกลหรือพรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลมาก่อน ดังนั้นการที่คนกรุงเทพฯลงคะแนนให้นายชัชชาติเป็นเอกฉันท์ ในขณะเดียวกันก็เลือก ส.ก.ของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นเสียงข้างมากในสภากรุงเทพมหานคร คือ ‘ประชามติของคนกรุงเทพฯ’ “นี่เป็นการแสดงประชามติ ของประชาชนคนกรุงเทพฯ และคิดว่าน่าจะเป็นการสะท้อนความรู้สึกของคนไทยทั้งประเทศเลยด้วยซ้ำไป ว่าคนไทยไม่ยอมรับรัฐบาลที่ปกครองประเทศในปัจจุบันนี้แล้ว ถึงเวลาที่จะต้องพิจารณาตัวเองแล้วว่าถ้าจะดันทุรังต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร” พนัสกล่าว

 

จากมุมมองเชิงวิชาการ หันมาดูในมุมของคนที่เคยผ่านทั้งงานการเมือง การต่อสู้บ้าง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ซึ่งมองว่า การแลนด์สไลด์ครั้งนี้ สะท้อนว่า ชัชชาติคือ ‘ผู้ว่าฯในฝันของคนกรุงเทพฯ’ อย่างแท้จริง นอกจากนี้ การประกาศตัวเป็นผู้สมัครในนาม ‘อิสระ’ คือ ‘ยุทธศาสตร์ที่ใช่ ในเวลาที่ถูก’ โดยมีการเปิดตัวก่อน ลงพื้นที่ต่อเนื่อง มีทีมคิด ทีมทำงานเข้มแข็ง นโยบาย ป้าย รถหาเสียง ลังไม้ปราศรัย สร้างความแตกต่าง โชว์ไอเดีย เก็บแต้มได้ทุกเม็ด

 

“คะแนนส่วนใหญ่ของเพื่อไทยน่าจะอยู่ที่ชัชชาติ แต่ที่ทำให้ถล่มทลายคือคะแนนจากทุกพรรคทุกฝ่ายไหลมารวมกัน เป็นผู้ว่าฯที่ทรงพลังทางการเมืองอย่างไม่เคยมีมาก่อน ถ้าทำได้ ทำดี เส้นทางการเมืองมีให้เดินต่อ กทม.คงเล็กไป ส่วนยุทธการไม่เลือกเราเขามาแน่ ส่งผลมุมกลับ คนกลัวชัชชาติแพ้ เทคะแนนให้ รัฐบาลประยุทธ์และพวก 3 ป. ถูกปฏิเสธจากประชาชนหนักมาก และจะหนักขึ้นเรื่อยๆ เพื่อไทยสำเร็จงดงามในสนาม ส.ก. ก้าวไกลก็ใช้ได้ ประชาธิปัตย์ต้องอาศัยความล้มเหลวของพลังประชารัฐ พรรคอื่นๆ ยังต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไป เครือข่ายอำนาจที่อุ้มรัฐบาลอยู่ คิดเยอะๆ คิดดีๆ จะให้ประยุทธ์ไปต่อหรือพอแค่นี้” ณัฐวุฒิ ฝากไว้ให้คิด

 

ก่อนปิดท้ายตามสไตล์ว่า อย่าท้าทายศรัทธาประชาชน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง