ในโลกของการทำงาน ภาวะผู้นำมีความสำคัญอย่างมาก เพราะเราต้องชี้นำ โน้มน้าวให้คนอื่นศรัทธาในเหตุผล ในแนวทางการทำงานของเรา ซึ่งถ้าหากเราขาดภาวะผู้นำ คนอื่นที่เขาทำงานกับเราด้วยก็จะไม่เชื่อถือในตัวเรา แม้เราจะมีไอเดียหรือแผนดีแค่ไหนก็ตาม คนส่วนใหญ่เขาก็เลือกที่จะปฏิเสธ John C. Maxwell ผู้แต่งหนังสือเล่มนี้เชื่อในพลังของคนหมู่มาก และการที่เราจะเป็นผู้นำได้ก็ต้องทำให้คนส่วนใหญ่เชื่อถือในตัวเราอย่างต่อเนื่อง แล้วเมื่อนั้นเราถึงจะมีอิทธิพลในการชี้นำได้ ความรู้ความประทับใจในมุมมองของครีเอเตอร์ได้เรียนรู้ว่ากฎแห่งเพดาน (The Law of the Lid) หมายถึง ความสามารถในการเป็นผู้นำ เหมือนเพดานที่กำหนดศักยภาพในการประสบความสำเร็จ ยิ่งอยากก้าวหน้ามากเท่าไหร่ ยิ่งต้องมีความเป็นผู้นำมากเท่านั้น เพราะความเป็นผู้นำจะส่งเสริมการกระทำของเราให้เกิดผลต่อผู้คนมากขึ้น อีกทั้งศักยภาพขององค์กรก็ขึ้นอยู่กับระดับความสามารถของผู้นำด้วย เมื่อไหร่ที่องค์กรมีปัญหาเรื้อรัง นั่นเป็นสัญญาณเตือนว่าองค์กรนั้นกำลังขาดแคลนผู้นำที่เหมาะสม ได้เรียนรู้ว่ากฎแห่งอิทธิพล (The Law of Influence) ระบุว่าความเป็นผู้นำไม่ใช่แค่การแต่งตั้ง แต่เกิดขึ้นได้เมื่อคนคนนั้นมีอิทธิพลต่อผู้อื่นมากพอ เช่น สามารถสร้างความรู้สึกผูกพันกับผู้อื่น มีบุคลิกภาพดีพร้อมกับความรู้ความสามารถที่ยอดเยี่ยม รู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะกระตุ้นผู้คน เมื่อไหร่ควรให้กำลังใจ เมื่อไหร่ไม่ควรไปก้าวก่าย มีประสบการณ์ในเรื่องที่ทำ เคยฝากความสำเร็จไว้ในอดีต ฯลฯ ได้เรียนรู้ว่ากฎแห่งกระบวนการ (The Law of Process) ระบุว่า ปัจจัยสำคัญในการพัฒนาความเป็นผู้นำอยู่ในสิ่งที่ทำทุกวันเป็นเวลานาน เป็นนักเรียนรู้ ความเป็นผู้นำมีความซับซ้อนและมีหลายแง่มุม ทั้งการยอมรับนับถือ ความเข้มแข็งทางอารมณ์ ทักษะด้านการรับมือกับผู้คน ความมีวินัย วิสัยทัศน์ แรงกระตุ้น จังหวะเวลา และอื่นๆ ซึ่งต้องอาศัยประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวในการพัฒนา ด้วยเหตุนี้ ผู้นำที่ประสบความสำเร็จมักชอบลงทุนในการพัฒนาตัวเองและผู้อื่น ได้เรียนรู้ว่ากฎแห่งการนำทาง (The Law of Navigation) คือผู้นำที่เห็นการณ์ไกลมากกว่าคนอื่น หรือเรียกว่ามีวิสัยทัศน์นั่นเอง ซึ่งสามารถพัฒนาได้ด้วยการทบทวนประสบการณ์ที่ผ่านมา เรียนรู้เพื่อค้นหาจากเหตุการณ์ต่างๆทั้งที่สำเร็จและล้มเหลว อีกทั้งเป็นผู้นำที่หมั่นถามไถ่และรับฟังผู้คนเพื่อรับรู้ความเห็นที่หลากหลาย ช่วยให้มองเห็นโลกกว้างมากขึ้น ได้เรียนรู้ว่ากฎแห่งการเพิ่มเติม (The Law of Addition) การเป็นผู้นำไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเรายกระดับตัวเองมากแค่ไหน แต่ขึ้นอยู่กับเรายกระดับคนอื่นได้มากแค่ไหน นั่นจะทำให้ผู้นำคนนั้นเป็นคนที่น่าเดินตาม นอกจากนี้มันยังช่วยให้เราในฐานะผู้นำสัมผัสได้ถึงความยินดีที่ได้รับบทบาทผู้นำ ศักยภาพของตัวเรา เมื่อได้ทำสิ่งที่มีความหมายให้ผู้อื่น พัฒนาการของทีม และความเคารพนับถือที่คนอื่นมีให้เรา ได้เรียนรู้ว่ากฎแห่งรากฐานมั่นคง (The Law of Solid Ground) กล่าวคือ เป็นผู้นำที่สามารถเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้แม้จะทำผิดพลาด โดยยอมรับความผิดอย่างตรงไปตรงมาและพยายามแสดงให้เห็นว่าเราให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าผลประโยชน์ของตัวเอง ได้เรียนรู้ว่ากฎแห่งการนับถือ (The Law of Respect) คนเรามักเดินตามผู้นำที่เก่งกว่าโดยอัตโนมัติ ยิ่งคนเรามีความเป็นผู้นำมากก็ยิ่งมองออกว่าคนอื่นมีความเป็นผู้นำอยู่แค่ไหน ด้วยเหตุนี้ ผู้นำที่มีความสามารถต่ำกว่าผู้ตามย่อมไม่ได้รับความนับถือจากผู้ตาม ตำแหน่งที่มีนั้นก็จะถูกแทนที่ด้วยคนที่เก่งกว่าและเหมาะสมกว่าในไม่ช้า ได้เรียนรู้ว่ากฎแห่งสัญชาตญาณ (The Law of Intuition) ผู้นำที่ดีจะมองทุกสิ่งด้วยมุมมองของผู้นำ ทำให้มีสัญชาตญาณโดยอัตโนมัติว่าจะต้องทำอะไร สามารถสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวขององค์กรหรือทีม รู้สึกได้ว่าสิ่งต่างๆกำลังดำเนินไปอย่างไร ราบรื่น ติดขัด หรือใกล้ล้มเหลว ผู้นำจะอ่านสถานการณ์ออกก่อนจะรู้ข้อเท็จจริงทั้งหมดเสียอีก อีกทั้งยังอ่านคนออกได้อีกด้วย เพราะมีความเอาใจใส่คนอื่น ไม่ว่าจะตัดสินใจทำอะไร ได้เรียนรู้ว่ากฎแห่งการดึงดูด (The Law of Magnetism) แรงดึงดูดที่ว่าไม่ได้เกิดจากความต้องการของเรา แต่มาจากตัวตนที่เราเป็นในช่วงเวลานั้น องค์กรจะมีคุณภาพแค่ไหนขึ้นอยู่กับว่าผู้นำมีคุณภาพแค่ไหน ได้เรียนรู้ว่ากฎแห่งการเข้าถึงใจ (The Law of Connection) ผู้นำเสริมสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนได้แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ การเข้าถึงใจก็ยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น ผู้นำที่ดีจะรู้จักก้าวไปหาผู้อื่นก่อนเสมอ พยายามรักษาความสัมพันธ์ให้ดีอย่างต่อเนื่อง มันไม่ง่าย แต่สำคัญต่อความสำเร็จขององค์กร เพราะความสัมพันธ์อันดี ทำให้คนเกิดความรู้สึกปลอดภัย ผู้คนจะกล้าคิด กล้าทำ กล้าสร้างสรรค์ ได้เรียนรู้ว่ากฎแห่งคนวงใน (The Law of the Inner Circle) เพราะศักยภาพของผู้นำขึ้นอยู่กับคนวงใน ซึ่งเป็นได้ทั้งเพื่อน ที่ปรึกษา และคนที่โน้มน้าวใจผู้นำได้ โดยผู้นำสามารถเลือกคนวงในด้วยเกณฑ์ดังนี้1.พวกเขามีอิทธิพลอย่างมากต่อผู้อื่นใช่ไหม ?2.พวกเขามีความสามารถช่วยเติมเต็มเราได้ไหม ?3.พวกเขามีบทบาทสำคัญในองค์กรหรือไม่ ?4.พวกเขาเพิ่มคุณค่าให้เราและองค์กรได้ไหม ?5.พวกเขาสร้างผลดีต่อบรรดาคนวงในของเราหรือไม่ ? ได้เรียนรู้ว่ากฎแห่งการให้อำนาจ (The Law of Empowerment) ระบุว่าผู้นำที่ฉลาดจะเลือกคนที่เหมาะสมมาทำงานให้และไม่ก้าวก่ายการทำงานของเขา เป็นการเปลี่ยนจากอำนาจที่เกิดจากตำแหน่ง เป็นอำนาจที่เกิดจากคน เมื่อผู้นำเชื่อในศักยภาพของลูกน้อง พวกเขาจะเชื่อมั่นในตนเอง กล้าคิด กล้าตัดสินใจ ได้เรียนรู้ว่ากฎแห่งภาพ (The Law of the Picture) ผู้นำที่ยอดเยี่ยมจะมีความสามารถสร้างและส่งต่อวิสัยทัศน์ อีกทั้งให้ความสำคัญกับความเป็นจริง นี่คือภาพที่ชัดเจนจากผู้นำที่การกระทำสำคัญกว่าคำพูด ได้เรียนรู้ว่ากฎแห่งการยอมรับ (The Law of Buy-in) การที่มีคนยินดีทำตาม เพราะผู้นำน่าเชื่อถือ นำเสนอเหตุผลให้คนอื่นยอมรับ การแสดงวิสัยทัศน์กับความเป็นผู้นำจึงแยกจากกันไม่ได้ ได้เรียนรู้ว่ากฎแห่งชัยชนะ (The Law of Victory) ในช่วงเวลากดดัน ผู้นำจะแสดงความสามารถได้เต็มที่ด้วยปัจจัย 3 ประการ 1.สมาชิกจะมีวิสัยทัศน์และเป้าหมายเดียวกัน 2.สมาชิกมีความหลากหลาย เสริมความสามารถหลายทางให้ทีมแกร่ง 3.ผู้นำจะต้องคอยกระตุ้นและสนับสนุนลูกทีม ได้เรียนรู้ว่ากฎแห่งแรงส่งอันยิ่งใหญ่ (The Law of the Big Mo) หากผู้นำเคยสร้างความสำเร็จเอาไว้มาก ขวัญกำลังใจของลูกทีมก็จะเพิ่มขึ้น เหมือนเกมกีฬาที่ทีมไหนทำคะแนนได้ก่อน จะมีโอกาสทำคะแนนนำเพิ่มขึ้นไปได้อีก ได้เรียนรู้ว่ากฎแห่งการจัดลำดับ (The Law of Priorities) ระบุว่าผู้นำจะต้องใช้หลัก 3R ในการจัดการ 1.อะไรคือสิ่งที่คนอื่นต้องการจากเรา โดยไม่มีใครทำแทนเราได้ (Requirement) 2.อะไรคือสิ่งที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดกับเรา (Return) 3.อะไรคือสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าได้รางวัลยิ่งใหญ่ (Reward) ได้เรียนรู้ว่ากฎแห่งการเสียสละ (The Law of Sacrifice) ระบุว่าการเป็นผู้นำหมายถึงการพร้อมเสียสละอุทิศเพื่อคนอื่นเพื่อส่วนรวมเป็นหลัก ไม่มีความสำเร็จใดปราศจากการเสียสละ ชีวิตคือการแลกเปลี่ยน แล้วผู้นำจะได้ความนับถือกลับมา ได้เรียนรู้ว่ากฎแห่งจังหวะเวลา (The Law of Timing) ระบุว่าผู้นำจะมีการตัดสินใจ 4 รูปแบบ1.การทำสิ่งที่ผิดในเวลาที่ผิด = หายนะ2.การทำสิ่งที่ถูกในเวลาที่ผิด = เกิดการต่อต้าน3.การทำสิ่งที่ผิดในเวลาที่ถูก = เกิดความผิดพลาด4.การทำสิ่งที่ถูกในเวลาที่ถูก = เกิดความสำเร็จ ได้เรียนรู้ว่ากฎแห่งการเติบโตทวีคูณ (The Law of Explosive Growth) ระบุว่าถ้าผู้นำอยากเติบโตทีละก้าว จงชี้นำผู้ตาม ถ้าผู้นำอยากเติบโตทวีคูณ จงชี้นำคนเป็นผู้นำอีกที เช่นนี้แล้วองค์กรก็จะเติบโตแบบก้าวกระโดด ได้เรียนรู้ว่ากฎแห่งมรดก (The Law of Legacy) หมายถึงผู้นำที่ส่งมอบมรดกให้ผู้นำรุ่นถัดไป รวมถึงใช้ชีวิตสอดคล้องกับมรดกที่อยากทิ้งไว้ให้ เลือกคนที่จะรับช่วงต่อเป็น ส่งไม้ต่อดีด้วยการพัฒนาคนคนนั้นในการมารับช่วงต่อ นี่คือกฎที่มีการกล่าวถึงมากมายภายในเล่ม ซึ่งยังมีรายละเอียดอีกมากให้ติดตามในเล่ม ถือเป็นหนังสือ Leadership ที่ขายดีตลอดกาลและมีการอัปเดตเนื้อหาใหม่ในรอบ 10 ปีอีกด้วย เป็นการการันตีถึงผลงานเขียนของ John C. Maxwell ที่ทรงคุณค่าแม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว สำหรับมุมมองครีเอเตอร์ แม้มันจะเนื้อหาและรายละเอียดมาก แต่เราก็ค่อยๆเลือกกฎบางข้อ เนื้อหาบางส่วนมาปรับใช้ในชีวิตจริงตามความเหมาะสม ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกกฎแบบฉับพลันทันใด โดยเราก็ค่อยๆเรียนรู้เนื้อหาไปทีละส่วน ประสบการณ์จะช่วยขัดเกลาให้เราเข้าใจเนื้อหาสอดคล้องกับบริบทตัวเราเอง เครดิตภาพภาพปก โดย wirestock จาก freepik.com ภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียนภาพที่ 3 โดย vecstock จาก freepik.comภาพที่ 4 โดย vecstock จาก freepik.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจรีวิวหนังสือ The Rules of Management เก่งเรื่องคน เข้มเรื่องงาน บาลานซ์เรื่องชีวิตรีวิวหนังสือ How to Make Work not Suck เมื่อเส้นทางการทำงานโรยไปด้วยเปลือกทุเรียนรีวิวหนังสือ วิถีผู้ชนะฉบับคนเก่งแบบเป็ด (How to be better at (almost) everything)รีวิวหนังสือ ทำงานยังไงให้คุณมีมูลค่าสูงสุดในองค์กรรีวิวหนังสือ คนเก่งเขาก็ทำงานให้ง่ายแบบนี้แหละ