ผลเสียจากการใช้ปุ๋ยเคมี มากเกินความจำเป็น ต่อสิ่งแวดล้อม | บทความโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล เวลาเราพูดถึงเรื่องการปลูกพืช การทำการเกษตรหรืออะไรก็ตามแต่ในทำนองนี้นั้น เรื่องการใช้ปุ๋ยคือเรื่องที่เราต้องได้คิดค่ะ เพราะธาตุอาหารพืชในดินไม่ได้มีตลอดชีพ จึงทำให้เราต้องคอยเติมปุ๋ยให้พืชตลอดในระหว่างที่มีการเพาะปลูก ซึ่งปุ๋ยเคมีคือปุ๋ยอีกหนึ่งชนิดที่เราคุ้นเคยกันดีและหลายคนก็ใช้เป็นปกติ แต่คุณผู้อ่านรู้ไหมคะว่า ปุ๋ยเคมีที่มีการใช้มากเกินความจำเป็นสำหรับการเพาะปลูกมักนำผลเสียมาให้ค่ะ ที่หลายคนอาจจะมองภาพในประเด็นไม่ออกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง? ดังนั้นในบทความนี้เราจะมารู้กันว่า หากเรายังคงใช้ปุ๋ยเคมีแบบไม่บันยะบันยังอยู่ จะมีผลกระทบอะไรเกิดขึ้นบ้าง ในแต่ละด้านมีความเสียอะไรในทางลบ โดยเมื่อคุณผู้อ่านได้อ่านให้จบแล้ว จะเริ่มมองเห็นภาพใหญ่ว่าทำไมเราต้องใช้ปุ๋ยเคมีแค่พอดีๆ ค่ะ ซึ่งต่อจากนั้นก็จะตระหนักมากขึ้นด้วย ทั้งในส่วนของการหันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์มากขึ้น ดังนั้นต้องอ่านต่อและค่อยๆ ทำความเข้าใจดีๆ ค่ะ กับเนื้อหาที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ 1. ผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ การใส่ปุ๋ยเคมีในปริมาณที่มากเกินความจำเป็นนั้น เปรียบเสมือนดาบสองคมที่อาจส่งผลเสียต่อความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศของเราได้ค่ะ ถึงแม้ว่าปุ๋ยเคมีจะช่วยให้พืชเติบโตอย่างรวดเร็วและให้ผลผลิตสูง แต่การใช้มากเกินไปอาจทำให้ดินเสียสมดุล ธาตุอาหารบางชนิดสะสมมากเกินไปจนเป็นพิษต่อพืชบางชนิด ในขณะที่พืชชนิดอื่นๆ ไม่สามารถแข่งขันได้ นอกจากนี้ปุ๋ยเคมีที่ไหลลงสู่แหล่งน้ำยังกระตุ้นการเจริญเติบโตของสาหร่ายมากเกินไป จนทำให้น้ำขาดออกซิเจน ส่งผลกระทบต่อปลาและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในน้ำไปด้วย การลดการใช้ปุ๋ยเคมีและหันมาใช้วิธีการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ หรือการปลูกพืชหมุนเวียน จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาสมดุลของระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพให้คงอยู่ต่อไปนะคะ 2. เพิ่มต้นทุนการผลิต ลองคิดดูว่าหากเราใส่ปุ๋ยในปริมาณที่พืชไม่สามารถใช้ได้หมด ปุ๋ยส่วนเกินเหล่านั้นก็จะสูญเปล่าไปกับดินและน้ำ เท่ากับว่าเราเสียเงินซื้อปุ๋ยไปโดยไม่ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า แถมยังอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการแก้ไขปัญหาดินเสื่อม หรือปัญหาน้ำเน่าเสียที่เกิดจากการใช้ปุ๋ยเคมีมากเกินไป การวางแผนการใช้ปุ๋ยอย่างเหมาะสมตามความต้องการของพืชและสภาพดิน จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มผลกำไรให้กับเกษตรกรได้ในระยะยาวค่ะ 3. การสูญเสียธาตุอาหารในดิน ปุ๋ยเคมีบางชนิดเมื่อใช้ในปริมาณมาก อาจทำให้ดินเป็นกรดหรือด่างมากเกินไป ส่งผลให้จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในดินไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ และยังอาจไปชะล้างธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชให้ไหลเลยชั้นดินที่รากพืชสามารถดูดซึมไปได้ เท่ากับว่าเราใส่ปุ๋ยลงไป แต่ดินกลับสูญเสียความอุดมสมบูรณ์ แทนที่จะได้ผลผลิตที่ดีในระยะยาว กลับเป็นการบั่นทอนความสามารถในการเพาะปลูกของดิน ทำให้ต้องพึ่งพาปุ๋ยเคมีมากขึ้นไปอีก เป็นวงจรที่ไม่ยั่งยืน ซึ่งการใช้ปุ๋ยเคมีอย่างพอเหมาะ และการเสริมด้วยปุ๋ยอินทรีย์จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในการรักษาสมดุลของธาตุอาหารในดิน และทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์อย่างยั่งยืนค่ะ 4. การดื้อยาของศัตรูพืช ถึงแม้ว่าปุ๋ยเคมีจะไม่ได้ออกฤทธิ์โดยตรงต่อตัวศัตรูพืช แต่การทำให้พืชเจริญเติบโตเร็วผิดปกติด้วยปุ๋ยเคมี อาจส่งผลให้พืชอ่อนแอลง ไม่สามารถต้านทานการเข้าทำลายของศัตรูพืชได้ดีเท่าที่ควร เมื่อเกิดการระบาดของศัตรูพืช เกษตรกรจึงมักจะหันไปพึ่งพายาฆ่าแมลงหรือสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในปริมาณที่มากขึ้นและบ่อยขึ้น เพื่อควบคุมสถานการณ์ ซึ่งการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องนี้เอง ที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ศัตรูพืชพัฒนาความต้านทานยาได้ในที่สุด การลดการใช้ปุ๋ยเคมีที่ไม่จำเป็นและหันมาใช้วิธีการจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสาน อาจเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดการดื้อยาของศัตรูพืชได้ในระยะยาวค่ะ 5. มลพิษทางน้ำ ลองนึกภาพตามค่ะ เมื่อฝนตกลงมา ปุ๋ยเคมีส่วนเกินที่ไม่ได้ถูกพืชดูดซึมก็จะถูกชะล้างลงสู่แหล่งน้ำ ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำ ลำคลองหรือห้วยตามธรรมชาติก็ตามแต่ ธาตุอาหารที่มากเกินไปจะกระตุ้นให้พืชน้ำและสาหร่ายเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว หรือที่เรียกว่าภาวะน้ำเขียว เมื่อสาหร่ายเหล่านี้ตายลงและเน่าเปื่อย จะใช้ออกซิเจนในน้ำปริมาณมาก ส่งผลให้สัตว์น้ำ เช่น ปลา กุ้ง และหอย ขาดออกซิเจนและตายในที่สุด ที่โดยสรุปแล้วการควบคุมปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีให้เหมาะสม และการมีระบบจัดการน้ำที่ดีจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางน้ำที่เกิดจากการเกษตรค่ะ 6. ผลผลิตลดลงในระยะยาว หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าการใส่ปุ๋ยเคมีมากๆ จะทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว การใช้ปุ๋ยเคมีมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อผลผลิตในระยะยาวได้ เมื่อดินได้รับปุ๋ยเคมีในปริมาณที่ไม่สมดุล อาจทำให้โครงสร้างของดินเสียไป ดินแน่นแข็ง รากพืชชอนไชได้ยาก และการระบายน้ำไม่ดี นอกจากนี้การที่พืชได้รับธาตุอาหารบางชนิดมากเกินไป อาจทำให้พืชอ่อนแอ ไม่แข็งแรงและไม่ทนทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืช เมื่อพืชไม่สมบูรณ์แข็งแรง ผลผลิตที่ได้ก็จะลดลงตามไปด้วย การใส่ปุ๋ยเคมีอย่างพอเหมาะตามความต้องการของพืช ร่วมกับการปรับปรุงบำรุงดินด้วยอินทรียวัตถุ จึงเป็นแนวทางที่ยั่งยืนกว่าในการรักษาและเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรในระยะยาวค่ะ 7. สูญเสียจุลินทรีย์ในดิน การใส่ปุ๋ยเคมีในปริมาณที่มากเกินไปนั้น เปรียบเสมือนการทำลายบ้านของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในดินค่ะ เนื่องจากจุลินทรีย์มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยย่อยสลายอินทรียวัตถุ เพื่อปลดปล่อยธาตุอาหารให้พืชดูดซึมได้ง่ายขึ้น และยังช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดินให้ร่วนซุย เมื่อเราใส่ปุ๋ยเคมีมากเกินไป ความเข้มข้นของสารเคมีที่สูงขึ้นอาจเป็นพิษต่อจุลินทรีย์ในดิน ทำให้จำนวนและความหลากหลายของจุลินทรีย์ลดลง เมื่อจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์น้อยลง ดินก็จะขาดความสามารถในการจัดการธาตุอาหารตามธรรมชาติ พืชจึงต้องพึ่งพาปุ๋ยเคมีมากขึ้นไปอีก เป็นวงจรที่ไม่ดีต่อดินในระยะยาว ดังนั้นการลดการใช้ปุ๋ยเคมีและการหันมาใช้วิธีการเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน เช่น การไถกลบพืชสด หรือการใช้ปุ๋ยหมัก จะช่วยส่งเสริมให้จุลินทรีย์ในดินมีชีวิตและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์อย่างยั่งยืนนะคะ 8. มลพิษทางดิน ปุ๋ยเคมีบางชนิดเมื่อใส่ลงในดินในปริมาณมาก อาจทำให้เกิดการสะสมของสารเคมีตกค้าง ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในดิน เช่น ไส้เดือนดิน และจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ นอกจากนี้ยังสามารถทำให้ดินมีสภาพความเป็นกรดหรือด่างเปลี่ยนแปลงไป จนไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชบางชนิดในระยะยาว การสะสมของสารเคมียังอาจปนเปื้อนลงสู่พืชผลทางการเกษตร ทำให้ผู้บริโภคได้รับสารเคมีตกค้างที่เป็นอันตรายต่อได้ ดังนั้นการควบคุมปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีให้เหมาะสมกับความต้องการของพืช และการเลือกใช้ปุ๋ยที่มีคุณภาพ รวมถึงการหมั่นตรวจสภาพดิน จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมลพิษทางดินจากการใช้ปุ๋ยเคมีได้ค่ะ 9. พืชอ่อนแอ การใส่ปุ๋ยเคมีในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้พืชดูเหมือนจะเติบโตเร็วและมีสีเขียวสดใสในช่วงแรก แต่ในระยะยาวแล้วกลับส่งผลให้พืชอ่อนแอลงได้ พืชที่ได้รับปุ๋ยเคมีมากเกินไป อาจจะมีการเจริญเติบโตทางลำต้นและใบมาก แต่ระบบรากกลับไม่แข็งแรง ทำให้ไม่สามารถดูดซึมน้ำและธาตุอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมยังทำให้ผนังเซลล์ของพืชอ่อนแอลง ทำให้ง่ายต่อการถูกแมลงและโรคต่างๆ เข้าทำลาย การใส่ปุ๋ยเคมีในปริมาณที่เหมาะสมตามความต้องการของพืช และการเสริมด้วยปุ๋ยอินทรีย์ จะช่วยให้พืชเติบโตอย่างสมดุล แข็งแรง และต้านทานต่อโรคและแมลงได้ดีกว่าในระยะยาวค่ะ 10. ติดการพึ่งพาปุ๋ยเคมี เมื่อเราใส่ปุ๋ยเคมีมากๆ ดินจะเคยชินกับธาตุอาหารสังเคราะห์ และอาจสูญเสียการทำงานของกระบวนการทางธรรมชาติในการสร้างธาตุอาหาร เช่น การย่อยสลายอินทรียวัตถุของจุลินทรีย์ เมื่อดินไม่สามารถผลิตธาตุอาหารเองได้ พืชก็จะได้รับอาหารไม่เพียงพอหากไม่ได้รับปุ๋ยเคมี ทำให้เกษตรกรต้องใส่ปุ๋ยเคมีมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ได้ผลผลิตเท่าเดิม กลายเป็นวงจรที่ไม่ยั่งยืนและสิ้นเปลืองในระยะยาว ซึ่งการลดการใช้ปุ๋ยเคมีอย่างค่อยเป็นค่อยไป และการหันมาบำรุงดินด้วยอินทรียวัตถุ จะช่วยให้ดินฟื้นฟูความสามารถในการผลิตธาตุอาหารเองได้ และลดการพึ่งพาปุ๋ยเคมีในที่สุดค่ะ เป็นยังไงบ้างค่ะ กับ 10 ผลกระทบที่เกิดจากการที่เราใช้ปุ๋ยเคมีมากเกินไป พอจะมองเห็นภาพกันไหมค่ะ ซึ่งต้องบอกว่าข้อเสียหลายอย่างผู้เขียนได้เรียนรู้มาเหมือนกันค่ะ ล่าสุดเลยคือได้ยินป้าๆ น้าๆ แถวนี้พากันบ่นว่าค่าปุ๋ยแพง ซึ่งความหมายต่อจากนั้นก็คือต้นทุนในการเพาะปลูกเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจริงๆ ผู้เขียนยังไม่ได้มีโอกาสบอกว่า เป็นเพราะพากันพึ่งพาปุ๋ยเคมีมากจนเกินไปค่ะ และจริงๆ แล้ว มีในเรื่องของดินเสื่อมสภาพด้วย เพราะโดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนมองว่า ปุ๋ยเคมีจะเป็นเพียงตัวช่วยในบางช่วงของการเจริญของพืชเท่านั้น จากที่ปุ๋ยเคมีสามารถปลดปล่อยธาตุอาหารพืชได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าเราใช้เยอะเกินไปเกินความจำเป็นก็แน่นอนว่า จะได้เห็นผลเสียข้างต้นตามที่ผู้เขียนได้นำเสนอไว้แน่ๆ ค่ะ คืออะไรในโลกนี้ก็ตามแต่ มากไปก็ไม่ดี น้อยไปก็ไม่ดีนะคะ ที่ดีคือต้องพอดีๆ ค่ะ และเรื่องนี้ก็สามารถใช้ได้กับกรณีของการใส่ปุ๋ยเคมีด้วย เราจึงควรปรับวิธีคิดใหม่ เพื่อเลือกวิธีการใหม่ๆ และไม่ให้เกิดผลเสียต่างๆ โดยเฉพาะผลเสียในระยะยาวที่บางครั้งก็แก้ไขได้ยากนะคะ และผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านไม่มากก็น้อย หากสนใจเนื้อหาเช่นนี้อีก อย่าลืมกดติดตามหรือบุ๊กมาร์กโปรไฟล์ไว้ เพื่อรับข้อมูลใหม่ๆ ในบทความต่อไปค่ะ เครดิตรูปภาพประกอบบทความ รูปภาพหน้าปก โดย Leiliane Dutra จาก Pexels และออกแบบหน้าปกโดยผู้เขียนใน Canva รูปภาพประกอบเนื้อหา: ภาพที่ 1, 3 โดยผู้เขียน, ภาพที่ 2 โดย Алексей Виноградов จาก Pexels และภาพที่ 4 โดย Александр Лич จาก Pexels เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การบำบัดน้ำเสียและจัดการสิ่งปฏิกูล บทความอื่นที่น่าสนใจโดยผู้เขียน ปุ๋ยคอก คืออะไร มีประโยชน์อะไรบ้าง ใช้ยังไงดี 9 ความสำคัญของแมลงในธรรมชาติ ต่อสิ่งแวดล้อม มีอะไรบ้าง 8 ผลเสียที่เกิดจากการเผา ตอซังและฟางข้าว ในการเกษตร เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !