ปู่บุญ (ผู้แต่ง ก.สุรางคนางค์) เรื่องสั้นเรื่อง ปู่บุญ เป็นเรื่องสั้นที่แต่งโดย ก.สุรางคนางค์ เป็นหนึ่งในเรื่องสั้นในหนังสือเสาหินแห่งกาลเวลา ซึ่งเป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นของศิลปินแห่งชาติ 10 ท่าน นับว่าเป็นหนังสือที่ทำให้ผู้อ่านได้เห็นถึงความหลากหลายของกลวิธีการเล่าเรื่อง การใช้ภาษา ของศิลปินแห่งชาติแต่ละท่านภายในหนังสือเล่มเดียว เหตุการณ์เริ่มต้นด้วยการเล่าเรื่องของเด็กคนหนึ่งในเรื่องที่เล่าถึงสิ่งที่พวกเขาได้ยินเมื่อพูดถึงความดีของคนอาภัพนั่นคือชื่อของปู่บุญจนทำให้เด็ก ๆ คิดว่าเจ้าของชื่อนี้ไม่ใช่คนธรรมดาทั้งที่จริงปู่บุญเป็นเพียงชายชราที่ยากจนอาศัยอยู่ในกระต๊อบเล็ก ๆ ใกล้ป่าช้าของวัด ปู่บุญเป็นคนที่ใคร ๆ ต่างก็รู้จักกันดีในย่านนี้ที่ชื่อว่าย่านสวนมะลิ ปู่บุญมักจะนุ่งผ้าโจงกระเบนสีเก่า ๆ สวมเสื้อสีขาว ผ้าขาวม้าคาดพุง ถือไม้เท้าอันใหญ่หัวเหลี่ยมเงินเคาะเป็นจังหวะไปบนทางเดิน เมื่อปู่บุญย่างก้าวเข้ามาในย่านสวนมะลิเด็ก ๆ ก็มักจะกรูกันเข้าไปหา บ้างก็บอกว่าแม่ให้ไปหาเขาจะวานกวาดยา ระหว่างทางปู่บุญก็หยุดทักทายผู้คนไปตลอดทาง บ้างก็ใช้ชื่อปู่บุญเพื่อข่มขวัญลูกให้ไม่งอแงเพราะปู่บุญคือผู้กวาดยาเมื่อปู่บุญเดินเข้าบ้านหลังเล็ก ๆ ที่มีเด็กร้องนี้เด็กก็นิ่งเงียบทันที แม่เด็กเชิญให้ปู่นั่งก่อน และถามว่าได้ไปดูป้าตาลหรือยัง ว่าแล้วปู่บุญก็ไปดูป้าตาลระหว่างทางเจอนายแถมคนขับรถรางบ้านอยู่ติดกับบ้านยายตาลจึงสนทนากันทราบว่ายายตาลตายแล้ว ปู่บุญพึมพำถึงความอนิจจัง แกปลงและคิดว่าไม่ช้าก็คงจะถึงคิวแกแล้ว เมื่อมาถึงบ้านยายตาล ลูกสาวยายตาลก็เชิญปู่นั่งลงแล้วก็สนทนากันว่ากำลังจะให้คนไปตามปู่อยู่พอดี คุยไปสักพักปู่ก็พูดว่า “ข้าจะพูดสักสองสามคำ ไม่กลัวเองโกรธล่ะวะ เมื่อแม่เองอยู่เองก็ปล่อยให้แกอด ๆ อยาก ๆ ต้องหาบต้องคอนขาย เองไม่คิดให้แกมีความสุขทันตาเห็น ครั้นแม่เองตายไปแล้ว เองจะทำให้ใหญ่โตอวดชาวบ้านเขา สิ้นเงินทองให้ป่วยการ มันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรแก่แม่เองหรอกวะ เชื่อข้าเถอะ” ปู่บุญพูดทิ้งไว้ให้คิดแค่นี้แล้วแกก็ลงจากเรือนไป แกโดนไปนู่นไปนี่ ถามไถ่ทุกข์สุขทุกคน ไปทั่ว ไม่ว่าใครจะเจ็บป่วยคนแรกที่ไปเยี่ยมก็คือตาแก่ ๆ เดินหง่อม ๆ ถือไม้เท้าคนนี้ นอกจากนี้แกยังช่วยทุกคนที่วานใช้ไม่ว่าจะอาบน้ำศพ ตราสัง ซื้อโลง หรือแม้แต่นวดให้พระครู นำสวดอาราธนาศีล ซ่อมหลังคา ฯลฯ แกช่วยผู้อื่นไปทั่วนับวันอาณาเขตที่ได้รับความเอื้อเฟื้อจากแกก็ขยายไปเรื่อย ๆ แกมีความสุขอยู่ด้วยการเอาใจ การปลอบ การรับใช้ผู้อื่น จนกระทั่งวันหนึ่งที่ผู้คนมีเรื่องที่จะไหว้วานแกเต็มไปหมด แกหายไปนานถึง 12 วันแต่กลับไม่มีใครเอะใจสงสัยว่าแกไปไหนทิ้งแกนอนตายศพอืดในกระต๊อบเล็ก ๆ ของแกอย่างโดดเดี่ยว จนกระทั่งพระออกบิณฑบาตแล้วไปพบ สุท้ายแล้วผู้เล่าเรื่องก็ได้กล่าวว่า “ท่านคงถอนใจ เมื่อฉันได้เล่าเรื่องของปู่บุญจบลงแล้ว แสดงว่าความดีของมนุษย์จะมีอยู่ต่อเมื่อเขาได้ตายไปแล้ว และทำให้ผู้อื่นถอนใจให้ครั้งเดียวเท่านั้นเอง แม้ผู้นั้นจะเป็นผู้ที่ให้ความสุขความสะดวกแก่ผู้อื่นอยู่จนตลอดชีวิต” โครงเรื่องของเรื่องสั้น “ปู่บุญ” ใช้เหตุการณ์เปิดเรื่องด้วยการบรรยายให้รู้จักตัวละครนั่นคือบรรยายให้รู้จักปู่บุญด้วยการกล่าวถึงความดีของเขาก่อนที่จะค่อย ๆ เล่าเรื่องราวเมื่อครั้งที่ปู่บุญยังมีชีวิตอยู่ ตามด้วยการสร้างปมความขัดแย้งนั่นคือความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับสังคมเรื่องจะเห็นได้จากตัวละครเอกคือปู่บุญมิได้ถูกรังเกียจหรือเกลียดชังจากผู้คนหรือสังคม เพียงแต่แกอยู่ในสังคมที่รายล้อมไปด้วยผู้ที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน แม้แกจะทำความดีมากแค่ไหนแต่สังคมที่แกอยู่นั้นก็มิได้เห็นคุณค่าเท่าที่ควร มาเห็นความดีอีกครั้งเมื่อแกตายไปแล้ว ต่อด้วยเหตุการณ์วิกฤติในเรื่องนี้คือการที่ปู่บุญป่วยซึ่งมีคนทราบเรื่องและนำไปบอกกับผู้อื่นแต่กลับไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่จะเข้าไปเหลียวแลปู่บุญ เหตุการณ์ไคลแมกซ์ของเรื่องอยู่ที่สุดท้ายปู่บุญก็ตายไปโดยไร้ซึ่งผู้คนเหลียวแลยิ่งตอนเป็นศพยิ่งไม่มีใครอยากเข้าใกล้ ผู้แต่งได้ใช้เหตุการณ์ปิดเรื่องคือปู่บุญตายและชาวบ้านต่างก็ทราบเรื่องและทิ้งท้ายด้วยข้อคิดว่าสุดท้ายแล้วความดีของมนุษย์จะมีอยู่ก็ต่อเมื่อเขาได้ตายไปแล้วและทำให้ผู้อื่นถอนหายใจให้ครั้งเดียวเท่านั้นเอง แม้จะทำความดี เอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือผู้อื่นมาตลอดชีวิต โครงเรื่องมีความสมจริงอ่านแล้วมีความรู้สึกว่ามีเหตุผลที่ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ ในด้านของความสนใจใคร่ ติดตามนั้นในเรื่องนี้ยังไม่มีความน่าติดตามเท่าไรนักเพราะปมของความขัดแย้งไม่ค่อยดึงดูดให้ผู้อ่านอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรต่อ ในเรื่องเป็นการเล่าเรื่องของชีวิตคนคนหนึ่งไปเรื่อย ๆ เท่านั้นเอง สิ่งที่เด่นชัดในเรื่องนี้คือมีการสื่อความหมายถึงความเป็นจริงในชีวิตมนุษย์ไม่ว่าจะตอนที่ปู่บุญกล่าวถึงยายตาลที่ตายไปว่าตอนอยู่ลูก ๆ ก็ปล่อยให้อด ๆ อยาก ๆ แต่เมื่อจากไปกลับอยากจัดงานให้ใหญ่โต แล้วเห็นถึงชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบันด้วยว่า ผู้ที่ไม่มีลูกหลานเลี้ยงดูต้องอยู่และจากไปอย่างโดดเดี่ยวเหมือนปู่บุญที่มีลูก 3 คน แต่ก็ต่างแยกย้ายกันไปไม่มีใครอยู่ดูแลสักคน ตัวละครในเรื่องสั้น “ปู่บุญ” ประกอบไปด้วยตัวละครเอกเพียงตัวเดียวนั่นคือ “ปู่บุญ” ซึ่งมีบทบาทในเรื่องอย่างมาก และเป็นตัวละครมิติเดียวคือตัวละครที่มีลักษณะนิสัยหรือพฤติกรรมที่สามารถสรุปได้ไม่ยากในเรื่อง ปู่บุญ เป็นผู้ที่มีเมตตา เสียสละ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น และประกอบไปด้วยตัวละครประกอบอีกหลายตัวซึ่งไม่ได้มีบทบาทสำคัญมากนักและไม่มีตัวละครประกอบตัวไหนที่สำคัญ ไปกว่ากัน ทุกตัวอยู่ในระดับเดียวกันเกือบทั้งเรื่อง ตัวละครประกอบเช่น หลวงตา พระครู แม่เป้าคนขายกล้วยแขกนางตาบ นายแถม เด็กชายแสวง เป็นต้น ในเรื่องนี้ผู้แต่งได้นำเสนอตัวละครโดยทางตรงและทางอ้อม เริ่มเรื่องมิได้บอกว่าปู่บุญมีลักษณะนิสัยอย่างไร แต่ใช้เหตุการณ์ในชีวิตต่าง ๆ เป็นตัวสะท้อนถึงลักษณะของตัวละครและได้บอกชัดเจนประมาณกลางเรื่องยาวไปถึงจบเรื่อง ฉากและบรรยากาศในเรื่องใช้ฉากที่เป็นช่วงเวลาร่วมกับฉากที่ทำให้เห็นสภาพการดำเนินชีวิตของตัวละคร จากเรื่องจะเห็นได้ว่าผู้เขียนได้นำเสนอเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่มีการย้อนช่วงเวลาก่อนที่ตัวละครจะตาย ในเรื่องนี้เริ่มด้วยการทำให้ผู้อ่านทราบว่าตัวละครไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ก่อนที่จะค่อย ๆ เล่าย้อนให้เห็นถึงสภาพการดำรงชีวิตของตัวละครขณะที่มีชีวิตอยู่ ดังเช่น ปู่บุญ ผู้แต่งก็ได้เล่านึกย้อนให้เห็นถึงคุณงามความดีของปู่บุญที่มีต่อผู้อื่นกระทั่งตัวตาย เป็นต้น ผู้แต่งได้นำเสนอแก่นเรื่องโดยนำเสนอผ่านทัศนะของผู้เล่าเรื่องนั่นคือตัวละครหนึ่งที่มีตัวตนในเรื่องและนำเสนอผ่านการกระทำของตัวละคร การนำเสนอผ่านทัศนะของผู้เล่าเรื่องคือการให้ตัวละครเด็กคนหนึ่งแต่ไม่ทราบชี้ชัดว่าเป็นใครเป็นผู้เล่าเรื่องเหตุการณ์ทั้งหมดและเป็นผู้ที่สะท้อนข้อคิดในตอนสุดท้ายของเรื่อง อีกทั้งในเรื่องนี้ยังได้นำเสนอแก่นเรื่องผ่านการกระทำของตัวละครเช่น หากจะกล่าวว่าตัวละครมีความเอื้อเฟื้อก็คงไม่ชัดเจนเท่ากับตัวละครมีพฤติกรรมที่เรียกว่าเอื้อเฟื้อ นอกจากนี้ยังมีคำพูดของตัวละครอีกหลายต่อหลายประโยคที่แสดงให้เห็นถึงแก่นของเรื่องว่าเรื่องนี้ต้องการสื่อให้เห็นอะไร เช่น ที่ปู่บุญพึมพำถึงการตายของยายตาลว่า “อนิจจัง วัตสังขารา อนิจจัง ไม่เที่ยง” เป็นต้น คุณค่าที่ปรากฏในเรื่องคือเรื่องนี้ให้คุณค่าในด้านอารมณ์สะเทือนใจผู้แต่งสามารถเล่าเรื่องได้อย่างสะกิดใจผู้อ่านเกิดความสงสารหรือมีความสงสารตัวละครเอก สร้างความสะเทือนใจความเศร้าที่ว่าแม้ตัวละครจะมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เพียงใดก็กลับไม่ได้รับสิ่งนั้นตอบแทนมาเลย นอกจากนี้ยังให้คุณค่าในด้านศีลธรรมคือสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เที่ยงของชีวิต สุดท้ายแล้วทุกคนก็หนีความตายไม่พ้น คุณค่าด้านสังคมคือสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นจริงของคนในสังคมที่ว่าคนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงผู้อื่นก็ต่อเมื่อผู้นั้นมีผลประโยชน์ต่อตนเอง และให้คุณค่าด้านการใช้ภาษาในเรื่องนี้ปรากฏคำที่ไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบันเช่น คำว่า “กวาดยา” ซึ่งหมายถึง การเอายาป้ายในลำคอเด็กโดยใช้นิ้วมือ เป็นการรักษาแบบแผนโบราณ ปัจจุบันไม่ค่อยนิยมใช้ สำหรับการหาซื้อหนังสือเล่มนี้ก็สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายหนังสือในห้างสรรพสินค้าเช่น ร้านนายอินทร์ ร้านซีเอ็ดบุ๊ค เป็นต้น หรือสามารถสั่งซื้อได้ทางเว็บไซต์ se-ed.com ภาพประกอบทั้งหมดโดย ผู้เขียน