ครอบครัวควรจะสนับสนุนการเรียนของลูกโดยอยู่ภายใต้ความสามารถของครอบครัว จะสังเกตว่าประโยคข้างต้นจะขึ้นต้นด้วยคำว่าครอบครัวและลงท้ายด้วยคำเดียวกัน นั่นแสดงว่าทุกชีวิตเริ่มต้นมาจากครอบครัวและจบด้วยครอบครัว เป็นยังไงน่ะเหรอ? เพราะเมื่อเราเริ่มที่จะมีลมหายใจหรือลืมตาดูความสวยงามของโลกครั้งแรก เราถูกปลอบประโลมความรักด้วยคนในครอบครัว และเมื่อเราสิ้นลมหายใจหรือหลับตาลงชั่วนาน เราก็ถูกโอบกอดจากคนในครอบครัวด้วยความรักและโหยหา ด้วยเหตุเช่นนี้ ทุกๆครอบครัวจึงพยายามเลี้ยงดู บ่มเพาะ หรือสั่งสอนลูกมาอย่างดี โดยตามมีตามเกิดเสมอ สิ่งที่เป็นปัญหาความขัดแย้งในทุกวันนี้เกิดขึ้นกับหลายๆครอบครัว ส่วนใหญ่จะเกิดกับครอบครัวที่ไม่ค่อยพูดคุยกันหรือไม่ยอมรับความจริงของโลกหรือเพราะข้อจำกัดต่างๆที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เรามาเข้าใจความต่างทางความคิดของคนเป็นลูกและพ่อแม่กันก่อนดีกว่า … “ลูก” คือเด็กน้อยที่อยู่บนโลกนี้โดยใช้เวลาน้อยกว่าคนเป็นพ่อและแม่แน่นอน ซึ่งตรงนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า ‘กาลสมัยเปลี่ยน วัฒนธรรมเปลี่ยนตาม’ หมายความว่า ในขณะที่พ่อแม่เรานั้นอายุเท่าเราในตอนนี้ ท่านอาจจะเจอกับโลกและสังคมในอีกรูปแบบหนึ่ง เด็กในสมัยนี้หรือตั้งแต่ยุคบูมเมอร์จะเริ่มเข้าใจความแตกต่างทางความคิดและความสามารถระหว่างรุ่นตัวเองกับพ่อแม่ เนื่องจากความรวดเร็วของยุคไซเบอร์และสังคมที่ปฏิบัติตามกันได้ง่ายๆ ในความคิดของเด็ก จึงเป็นความคิดที่เริ่มอยากจะทำอะไรที่แตกต่างออกไป ออกนอกกรอบหรือคิดทำอะไรในอาจจะดู ‘อันตราย’ ในสายตาของผู้ใหญ่ ยกตัวอย่างเช่น เด็กหญิงขนมหวานอยากเรียนสถาปัตย์ แต่คุณพ่ออยากให้เรียนแพทยศาสตร์ คุณแม่อยากให้เรียนนิติศาสตร์ คุณพ่อคุณแม่ของเด็กหญิงขนมหวานมองว่า สถาปัตย์เป็นคณะที่เรียนไปวันๆ เป็นคณะของเด็กเกเร เป็นเศษของอาชีพที่คนส่วนใหญ่เรียน จบออกมาแล้วหางานยากหรือไม่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน เป็นต้น แต่เด็กอย่างขนมหวานพอจะเข้าใจความคิดของคุณพ่อคุณแม่ที่อยากให้ลูกมีความมั่นคงในหน้าที่การงานในอนาคต อย่างเช่นถ้าเรียนแพทย์ เมื่อจบมาก็มีงานทางสายสุขภาพรองรับมากมายแถมยังร่ำรวยอีกต่างหาก หรือถ้าจะเรียนด้านกฎหมาย ก็สามารถเข้ารับราชการเพื่อรับบำเหน็จบำนาญหรือสิทธิรักษาพยาบาลในอนาคตได้อีกด้วย ความเข้าใจแบบขนมหวานอาจจะมีเฉพาะเด็กส่วนหนึ่งในสังคมไทยปัจจุบัน เพราะทุกครอบครัวแตกต่างกัน มีวิธีการเลี้ยงดูลูกที่ไม่เหมือนกัน ขนมหวานถือว่าโชคดีที่มีครอบครัวพร้อมเข้าใจและพร้อมจะสนับสนุน(ในบางเรื่อง) บางครอบครัวเข้าใจลูกแต่ไม่มีความสามารถเพียงพอ หรือบางครอบครัวก็อาจตรงกันข้ามกันเลยก็ได้ โดยสาเหตุหลักของความขัดแย้งกันทางความคิดระหว่างลูกและพ่อแม่ก็ได้กล่าวมาในส่วนท้ายของย่อหน้าแรกแล้ว และก่อนจะไปพูดถึงสามข้อนั้น เด็กหญิงขนมหวานขออัปเดตความก้าวหน้าของหลักสูตรการเรียนในระดับอุดมศึกษาและความเปิดกว้างอย่างเสรีของวิชาชีพต่างๆกันก่อนนะ ถ้าหากคุณพ่อหรือคุณแม่ท่านใดได้อ่านบทความนี้อยู่ อยากจะกระซิบให้ทราบว่าปัจจุบันนี้ทุกวิชาชีพในทุกๆสายงานนั้นมีความสำคัญเท่าๆกันเลยนะ ไม่มีอาชีพไหนด้อยค่าเลยล่ะ เพราะทุกอาชีพต่างมีความจำเป็นในการอยู่เป็นองค์ประกอบที่สมบูรณ์ในสังคมของเรา เหตุที่หลายๆคนด้อยค่าอาชีพนั้นอาชีพนี้อยู่บ่อยๆเพราะค่านิยม ‘ความเก่ง’ ที่สูงขึ้น การเอาความเก่งมาแบ่งแยกหมวดหมู่ของสายงานเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดเป็นอย่างยิ่ง การเรียนสายศิลป์ไม่ได้แปลว่าไม่เก่ง การเรียนสายวิทย์ก็ไม่ได้แปลว่าเก่งเกินใคร เคยได้ยินประโยคที่ว่า “ทุกคนมีความเก่งในตัวเอง” ไหม? เช่น เด็กหญิงขนมหวาน ทำคะแนนวิชาคณิตศาสตร์ได้ไม่ดี แต่ทำคะแนนวิชาภาษาอังกฤษได้ดี ไม่ได้แปลว่าไม่เก่งแต่แค่เก่งคนละด้านกันกับคนที่เก่งคณิตศาสตร์เท่านั้นเอง ดังนั้นขนมหวานอยากจะให้ทุกคนลองเปลี่ยนมุมมองในเรื่องนี้ดูก่อนนะ ลองเปิดใจกว้างๆ อย่ายึดติดแค่เพียงความเก่งเท่านั้นเลยนะคะ ส่วนคุณพ่อคุณแม่คนไหนที่กำลังเป็นห่วงลูกอยู่นั้น ไม่ต้องห่วงเลยว่าถ้าจบคณะอย่างสถาปัตย์แล้วจะไม่มีงานทำ ถ้าลูกของคุณพ่อคุณแม่ขยันและตั้งใจ ยังไงเรียนจบอะไรก็สามารถเลี้ยงชีพตัวเองได้แน่นอน เอาล่ะ ถึงเวลาไปเข้าสู่เนื้อหาหลักของเรากันแล้ว “สาเหตุความขัดแย้งเรื่องการศึกษาระหว่างลูกและพ่อแม่”ไม่พูดคุยกัน สาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่เจอได้บ่อยมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากในตอนนี้ส่วนใหญ่มีความต้องการความเป็นส่วนตัวสูง อยู่แต่ในห้อง ทำสิ่งที่ตัวเองชอบหรือสนใจ หรืออาจจะเป็นเด็กที่ไม่ค่อยอยู่บ้าน ติดเพื่อน ไปไหนมาไหนบ่อย เมื่อเจอปัญหาจะไม่ค่อยได้พูดคุยปรึกษาปัญหาหรือเล่าอะไรให้พ่อแม่ฟัง เพราะความที่เด็กมีเพื่อน จะถือว่าเพื่อนเป็นบุคคลในวัยเดียวกันที่อยู่ใกล้ชิด สามารถพูดคุยได้อย่างสบายใจมากกว่า เนื่องจากแบบนี้เอง พ่อแม่หลายคนจึงไม่ทราบว่าลูกมีความสนใจหรือถนัดเรื่องอะไรในด้านการเรียน หรือไม่ทราบเลยว่าลูกมีความคิดหรืออยากวางแผนอะไรในอนาคตตัวเอง จึงไม่พ้นการที่พ่อแม่มักจะยัดเยียดความคิดหรือบังคับให้ลูกเรียนหรือทำในสิ่งที่ลูกไม่ชอบ ไม่ถนัด และเมื่อลูกโต้แย้ง การโต้แย้งของลูกจึงกลายเป็นพฤติกรรมความก้าวร้าวทันทีในสายตาพ่อแม่ และเมื่อพ่อแม่เห็นแบบนั้นเลยอาจใช้ความรุนแรงทางวาจากับลูก ลูกเลยรู้สึกโกรธและไม่เข้าใจพ่อแม่ เหตุการณ์แบบนี้เกิดจากการที่ทั้งสองฝ่ายไม่ค่อยได้พูดคุยกัน ทำให้ไม่รู้ว่าจะต้องวางตัวอย่างไรหรือมีวิธีการพูดคุยอย่างไรให้ไม่เกิดความขัดแย้งที่มากขึ้น สำหรับการแก้ไข ง่ายๆเลยคือการพูดคุยกันให้มากขึ้นไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามแต่ ถ้าอยู่ในรถด้วยกัน ก็พยายามชวนคุยถึงกิจกรรมที่กำลังจะทำ หรือตอนแม้กระทั่งนั่งร่วมโต๊ะทานข้าวก็ช่วยเหมือนกันนะ แต่ข้อควรระวังเลยคืออย่าพูดอะไรที่ทำร้ายความรู้สึกของกันและกัน ยิ่งคุณพ่อคุณแม่นี่ยิ่งห้ามพูดดูถูกความชอบหรือความถนัดของลูกเลยนะ ให้คำแนะนำได้แต่อย่าบังคับให้ทำแบบนู้นแบบนี้ เพราะเราคงไม่อยากให้ลูกกลายเป็นเด็กที่ไม่มีความมั่นใจหรือเก็บกดใช่มั้ยล่า… ลองเอาไปปรับใช้กันดูนะ คงไม่มีใครอยากอยู่บ้านหลังเดียวกันแต่ทำเหมือนเป็นคนไม่รู้จักกันหรอก ไม่ยอมรับความจริง โลกที่หมุนเปลี่ยนไปในทุกวินาที ต่างมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากมาย แม้แต่ความต้องการของมนุษย์ก็เปลี่ยนเช่นกัน แต่มีบางกรณีที่มนุษย์ยังยึดติดแต่กับอะไรเดิมๆ เพราะความเคยชินหรือเพราะค่านิยมที่ไม่จางหาย ยกตัวอย่างเช่น “เขาก็ทำกันแบบนี้” “ใครๆก็ทำกัน” “ลูกบ้านนู้น…” “เนี่ย ดูสิ…” คำเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากคำพูดของพ่อแม่ที่พูดเชิงเปรียบเทียบหรือความต้องการที่อยากจะให้ลูกของตัวเองเป็นแบบนั้นแบบนี้ตามที่เห็นในสื่อหรือตัวอย่างต่างๆ การพูดแบบนี้มีแต่จะทำให้เด็กเกิดความกดดันและเริ่มมีความคิดว่า “เฮ้ย…เราก็ไม่ใช่คนพวกนั้นมั้ยวะ ทำไมพ่อแม่ต้องอยากให้เราเป็นเหมือนคนอื่นด้วย?” ถูกต้องแล้วในความคิดของเด็ก เพราะอย่างที่ได้กล่าวมา เด็กแต่ละคนความสามารถไม่เหมือนกัน การที่พ่อแม่อยากให้ลูกของตัวเองเก่งนั้นไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะไม่ยอมรับด้วย ว่าลูกของเราความสามารถมีในระดับไหน การแข่งขันในปัจจุบันมีในระดับไหน ลูกเราจะไหวหรือเปล่า หรือง่ายๆเลยคือเขาอยากทำหรือเปล่า การยอมรับในเรื่องความสามารถเด็กหรือยอมรับความจริงในโลกปัจจุบันที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ นั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในครอบครัว เพื่อเป็นการถนอมความรู้สึกแล้ว ยังสามารถทำให้มีสติในการดำเนินชีวิตต่อไปได้อีกด้วย ข้อจำกัดต่างๆ ประเด็นสุดท้ายเลยคือเรื่องข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็นข้อจำกัดทางความสามารถของเด็ก หรือข้อจำกัดทางฐานะของครอบครัวก็ตาม เด็กที่มีความสามารถที่เด่นชัดอยู่แล้วโดยการถ่ายถอดออกมาผ่านกิจกรรมที่ชอบทำ มักจะมีความต้องการที่ชัดเจนในชีวิต และเมื่อมีความต้องที่ชัดเจน รวมไปถึงครอบครัวเข้าใจและพร้อมสนับสนุนนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ต่างกับเด็กที่ไม่รู้ตัวเองเลยว่าตัวเองเก่งหรือถนัดเรื่องไหน ก่อนจะถึงทางแยกของชีวิต เด็กเหล่านี้มักเจอกับความเคว้งคว้างเพราะหันไปทางไหนก็เจอแต่เพื่อนที่มีกิจกรรมทำหลังเลิกเรียน เมื่อถึงช่วงทางแยก เด็กเหล่านี้ก็เคว้งอีกรอบเพราะไม่รู้จะเรียนอะไร พอหันไปทางไหนก็เจอแต่เพื่อนที่มีที่เรียนเรียบร้อยแล้ว จึงไม่พ้นการชี้นำของพ่อแม่เช่นเดิม กับอีกกรณีที่รู้ตัวว่าอยากเรียนอะไร เรียนที่ไหน พ่อแม่เข้าใจแต่ติดที่ข้อจำกัดทางฐานะของครอบครัว ช่วงแรกเด็กอาจจะไม่เข้าใจ จนเกิดความดึงดัน แต่เมื่อสุดท้ายแล้วเด็กไม่สามารถเข้าไปเรียนในสิ่งที่หวังได้จริงๆ จึงทำได้แค่ยอมรับและทำให้ดีที่สุดเท่านั้น ความฝันของเด็กคนหนึ่งจะไม่สะดุดลงเลยถ้าปราศจากข้อจำกัดทั้งปวง ถ้าเด็กคนหนึ่งเพรียบพร้อมทุกอย่างและสังคมเองก็สนับสนุนด้วยเช่นกันแล้วล่ะก็ แต่นั้นหาได้ยากมากในสังคมไทย เพราะถึงแม้จะเพรียบพร้อมโดยตัวเด็กเองและครอบครัว แต่สังคมไทยยังคงมองและให้ค่ากันที่ผลลัพธ์มากกว่าอยู่ดี อย่างไรก็ตาม พ่อแม่และลูกควรศึกษาทำความเข้าใจปัญหาและแสดงความคิดเห็นเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในครอบครัวร่วมกัน ไม่ควรมีใครที่ต้องเสียใจเพราะการตัดสินใจของคนๆเดียวนะคะ สำหรับเรื่องราวที่ขนมหวานได้พูดถึงวันนี้ ขนมหวานหวังว่าจะให้คำแนะนำที่ดีแก่คุณพ่อคุณแม่และตัวของน้องๆเองด้วย สำหรับการตัดสินใจในการเรียนต่อนะคะ แต่ขนมหวานแนะนำสำหรับคนที่ยังไม่รู้จะเรียนอะไรนะคะ การซิ่ว หรือ Gap Year สักปีหนึ่งก็ไม่แย่นะคะ เราอาจจะรู้จักตัวเองมากขึ้นไปอีกขั้นเลยก็ได้ แต่ยังไงก็ต้องคุยกับพ่อแม่ให้เรียบร้อย ทำความเข้าใจกันทั้งสองฝ่ายก่อน เพราะการเดินทางตลอดอย่างต่ำสี่ปีในมหาวิทยาลัยเนี่ย ไม่ใช่เวลาน้อยๆเลยนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ <3 สวัสดีค่า ‘เด็กหญิงขนมหวาน’ นะคะ ฝากติดตาม ให้กำลังใจและสนับสนุนด้วยนะคะ ขอบคุณค่า ขนมหวานรับปรึกษาและแนะนำด้านการเรียนและการใช้ชีวิตให้กับน้องๆทุกคนเลยนะค้า ติดต่อเมล : mini.knw@gmail.comIG Nametag : https://instagram.com/mini.kanonwhan_?r=nametag ขอขอบคุณภาพประกอบภาพประกอบที่ 1 จาก d4rkwzd โดย Pixabayภาพประกอบที่ 2 จาก kreatikar โดย Pixabayภาพประกอบที่ 3 จาก dandelion_tea จาก Pixabay ภาพประกอบที่ 4 จาก mintchipdesigns จาก Pixabay ภาพประกอบที่ 5 จาก aymanfakhry1999 จาก Pixabay ภาพประกอบที่ 6 จาก StockSnap จาก Pixabay เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !