Credit pic : https://pixabay.com/images/search/psychology/ "แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน"ดังบทกวีบทหนึ่งในเรื่องพระอภัยมณี เป็นบทที่ท่านฤาษีช่วยสุดสาคร และสอนเรื่องนี้ให้เท่าทันคน ต่อให้ภายนอกดูมีความน่าเชื่อถือ แต่ภายในจิตใจไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่าเขาคิดอะไร จะว่าไปเรื่องที่ยาก น่ากลัวที่สุดนั่นก็คือจิตใจของคนนี่แหล่ะ เพราะเป็นพวกที่มีความซับซ้อนที่สุด แม้หน้าตาของคนเหล่านั้นจะเป็นยังไงก็ตาม ถ้ามองในทางกลับกัน ไม่มีใครรู้ว่าเราคิดอะไรกับเขา และไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรกับเรา ดังสุภาษิตว่า "รู้หน้า...ไม่รู้ใจ" แล้วมันเกิดได้ยังไง? คำตอบก็คือ บุคลิกภาพที่แสดงออกล้วนเกิดจากแรงขับในจิตใจของคนนั้นจะประกอบด้วย 3 สิ่งที่มาจากทฤษฎีบุคลิกภาพ ได้แก่ 1. ID (อิด)อิดก็เหมือนสันดานดิบของมนุษย์ เป็นส่วนที่อยู่ในจิตใจตั้งแต่เกิด เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นสิ่งที่บ่งบอกความดิบในจิตใจ โดยมุ่งตรงที่ "ความสุขทางจิตใจ" เป็นหลัก ในขณะเดียวกัน อิดมีลักษณะความเห็นแก่ตัว จะตอบสนองต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งในทันทีแบบตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม2. EGOอีโก้เกิดขึ้นโดยมุ่งตรงที่มุมมอง "หลักแห่งความเป็นจริง" และหลายครั้งที่มนุษย์ต้องต่อสู่กับอิดที่มีอยู่ในจิตใจ อีโก้จะให้สำคัญกับการมองโลกในความจริง และการวางแผนในอนาคต จะอยู่กึ่งกลางระหว่างอิดกับซุปเปอร์อีโก้ ในทางด้านสมดุลทางจิตใจ บทบาทของพ่อแม่ สิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวก็มีส่วนที่ทำให้เกิดผลของอีโก้ เพราะมันจะค่อย ๆ ซึมซับกับสิ่งนั้นจนกระทั่งหลอมรวมเป็นเราและหลอมรวมเป็นเขาเช่นกัน3. SUPEREGOซุปเปอร์อีโก้จะมุ่งตรงทางด้าน "ศีลธรรม" และ "อะไรควรไม่ควร" เพราะช่วงนี้จะเป็นช่วงที่มีการขัดเกลาทางจิตใจ ซึ่งจะแตกต่างจากสองข้อแรกที่เกี่ยวข้องกับตัวเรา ส่วนซุปเปอร์อีโก้จะให้เราคำนึงถึงผู้อื่นมากกว่า ในกรณีที่มีข่าวอาชญากรรม คนเหล่านั้นขาดการขัดเกลาทางจิตใจที่ดี ขาดการยับยั้งชั่งใจ ทำให้สิ่งที่ทำกลายเป็นแรงขับของอิด ที่ทำสิ่งนั้นโดยไม่รู้สึกผิดเลย Credit pic : https://pixabay.com/images/search/psychology/จากทฤษฎีบุคลิกภาพนั้น เป็นการวิเคราะห์ที่ทำให้เราทราบถึงพฤติกรรมมนุษย์ ไม่เลือกว่าเราจะเชื้อชาติอะไร เพศอะไร ศาสนาอะไร มีผลต่อทัศนคติของบุคคลมากพอสมควร มันอยู่ที่ว่ามองเขาแบบไหน และมองเราแบบไหน เป็นไปได้ทั้งมองแง่ดีและแง่ร้ายปะปนกันไป สิ่งนี้...มองไว้ว่าจิตใจของเราเหมือนวงกลมสองวงทับซ้อนกันระหว่างอิดกับซุปเปอร์อีโก้ และส่วนที่ทับซ้อนของวงกลมนั้นก็คืออีโก้ เป็นจุดกึ่งกลางของจิตใจให้เราเห็นมุมมองปัจจุบัน ณ ตรงนั้นได้ดี ดังที่เราได้ยินประโยคหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า "สมองย่อมแตกต่างจากหัวใจ" เราจะเห็นได้ว่า แรงขับทางจิตใจที่มีผลต่อบุคลิภาพนั้นก็มีส่วนที่ทำให้สิ่งที่เรียกว่า "นิสัย" ของแต่ละบุคคลที่แสดงออกต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง อย่าลืมว่าบุคลิกภาพมิใช่แค่ภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่บุคลิกภาพนั้นมีแรงขับทางด้านสภาพจิตใจร่วมด้วย และไม่ใช่แค่ผลของตัวเขาและตัวเราเพียงเท่านั้น ปัจจัยภายนอกก็มีส่วนที่เปลี่ยนแปลง เราจะรู้ได้ว่า ทำไมคน ๆ นี้ถึงนิสัยเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ หรือทำไมคน ๆ นั้นตกต่ำแค่ไหนทำไมถึงเอาดีได้ ประสบการณ์ที่ผ่านมาย่อมสอนบุคคลเหล่านั้นมาไม่เท่ากัน ก็มีผลลัพธ์ชัดเจนว่า...ทำไมเขาหรือเราถึงเป็นเช่นนั้น จะพูดแค่มุมมองว่าต้องโตมาแบบไหนถึงมีนิสัยแบบนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ถูกเสมอไปนัก ตื้นลึกบางหนาอาจจะมีไม่เท่ากัน อาจจะเป็นเหมือนที่คิด ไม่เป็นเหมือนที่คิดก็เป็นได้Credit pic : https://pixabay.com/images/search/psychology/พฤติกรรมที่แสดงออกมิใช่แค่แสดงออกในด้านดี ด้านร้าย ทั้งยังมีการแสดงออกซึ่ง ๆ หน้า และแสดงออกลับหลัง มันขึ้นอยู่กับมนุษย์จะแสดงด้านใดให้เห็น สิ่งนั้นก็เกิดขึ้นได้ภายใต้พฤติกรรมของทฤษฎีทางบุคลิกภาพ แต่ก็มีบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับโรคทางจิตใจ การป่วยทางจิตใจมีผลในการแสดงออกต่อผู้อื่นแบบผิดปกติ เราไม่รู้หรอกว่าบุคคลนั้นจะเป็นบุคคลปกติหรือบุคคลที่มีความผิดปกติทางจิตใจ ทุกคนย่อมมีสิทธิ์ที่จะเป็นโรคเหล่านั้นได้ ทำให้เวลาแสดงต่อหน้าเราเป็นแบบไหน และคนอื่นเป็นแบบไหน ถึงมีความแตกต่างชัดเจน บางรายอาจจะสุดขั้ว บางรายอาจจะดูเหมือนเป็นคนดี แต่ภายในใจเราไม่สามารถหยั่งลึกได้ว่าจะดีหรือร้าย ซึ่งขอไม่ลงลึกไปมากกว่านี้ คนมันจะดีหรือร้ายมันไม่เลือกเวลาที่จะเกิด เพราะสิ่งที่แสดงออกนอกจากทฤษฎีทางบุคลิกภาพแล้ว ก็ยังเกี่ยวข้องกับแรงขับภายในจิตใจให้กระตุ้นทำสิ่งนั้น อย่างไรเสียถ้าเรารู้ทันใจเราเอง เราจะไม่ตกเป็นทางอารมณ์ และถ้ารู้ทันเกมคนอื่น แม้ว่าเราจะหยั่งใจเขาไม่ได้ แต่ถ้ารู้ทันเกม เราจะอยู่บนโลกนี้ได้อย่างเท่าทัน และ "อยู่เป็น" ในสถานการณ์ที่แตกต่างกันไปเช่นกันค่ะ เราจะได้ไม่ประมาทในการใช้ชีวิตละกันเนอะ...ว่าไหม :)