เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้

บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index แกว่ง Sideways to Sideways Down ในกรอบ 1,540-1,560 จุด โดยบรรยากาศการลงทุนค่อนไปในทางลบ เม็ดเงินไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงระยะสั้นหลังตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนเดือน ก.ค. ของสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 3.24 แสนตำแหน่ง สูงกว่าตลาดคาดมาก ทำให้ตลาดกังวลว่า FED อาจต้องขึ้นดอกเบี้ยต่อ หนุน Bond Yield อายุ 10 ปี พุ่งขึ้นทะลุ 4% อีกครั้ง ขณะที่กลุ่มพลังงานต้น-กลางน้ำคาดชะลอตัวระยะสั้นตามราคาน้ำมันดิบที่พักฐานเมื่อคืนที่ผ่านมา
ส่วนปัจจัยในประเทศวันนี้ติดตามพรรคเพื่อไทยแถลงพรรคร่วมรัฐบาลช่วงบ่ายหลังจากวานนี้แถลงยกเลิก MoU 8 พรรคแล้ว รวมถึงศาลรัฐธรรมนูญจะรับ/ไม่รับเรื่องปมห้ามเสนอชื่อคุณพิธาซ้ำ รวมถึงการโหวตเลือกนายกฯในวันที่ 4 ส.ค. เรายังคงสมมติฐานว่าปัจจัยการเมืองและการตั้งรัฐบาลจะได้ข้อสรุปภายในเดือนนี้ ซึ่งคาดว่าจะเป็นบวกต่อตลาดทุนในระยะถัดไปจากความเชื่อมั่นนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นและมีโอกาสหนุนกระแสเงินทุนต่างชาติให้พลิกกลับมาไหลเข้าอีกครั้ง ส่วนด้านผลประกอบการ 2Q23 ของบริษัทจดทะเบียนที่จะทยอยประกาศออกมาในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้า ภาพรวมไม่ได้เป็นไตรมาสที่โดดเด่น ดังนั้นจึงต้องเน้นกลยุทธ์ Selective กลุ่มฯหรือหุ้นที่มีกำไรแข็งแกร่งและแนวโน้มดีต่อใน 2H23
กลยุทธ์ : เลือกลงทุนในหุ้นที่คาดกำไร 2Q23 แข็งแกร่ง//ส่วนที่สะสมแล้วบริเวณ 1,500+- จุดยังถือลงทุนต่อเนื่อง
หุ้นเด่นเดือนส.ค. : BA, BBL, NSL, RBF, TACC
(กรรมการอิสระและประธานกรรมการตรวจสอบของ FINANSIA SYRUS ดำรงตำแหน่งกรรมการของ BA)
หุ้นเด่นวันนี้ : BDMS
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 34.50 บาท
• เราคาดกำไรปกติ 2Q23 ที่ 2.9 พันลบ. -15% q-q เพราะเป็นช่วง Low season ของธุรกิจ Healthcare แต่ +10% y-y โดยคาดรายได้ 2Q23 +8% y-y จากทั้งผู้ป่วยในประเทศที่คาด +5% y-y และเกินระดับ pre-covid 23% และผู้ป่วยต่างประเทศคาด +20% y-y และเกินระดับ pre-covid 7%
• แนวโน้มกำไร 3Q23 จะเพิ่มขึ้นท้ั้ง q-q, y-y จากนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางจำนวนมากที่จะเข้ามาไทยหลังช่วงรามาดอนซึ่งจะหนุนให้มีโมเมนต้มของ Medical Tourist สูงขึ้นในช่วง 3Q23 และเป็น High Season ของไทย ยังคาดกำไรปี 2023 ที่ 1.35 หมื่นลบ. +7% y-y
• แนวรับ 27-27.50 บาท แนวต้าน 29-29.25//30-31 บาท
**บล.ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดดัชนีฯ ปรับตัวลดลง ตลาดเงินต่างประเทศผันผวน รอศาลฯ ตัดสินโหวตนายกฯ วันนี้ ด้านต่างประเทศ จากที่ ฟิทช์ เรตติ้ง ได้หั่นเครดิตสหรัฐฯ ทำให้มีผลต่อตลาดหุ้นวานนี้ รวมถึงการเทขาย Bond ของนักลงทุน (สหรัฐฯ-ญี่ปุ่น) สะท้อนถึงความกลัวของตลาด ค่าดอลล่าร์สูงขึ้น (ลบต่อทองคำ)
• จีน ยังต้องจับตาการเล็งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากเศรษฐกิจชะลอตัวติดต่อกันมายาวนาน และยังไม่ได้มีมาตรการใหญ่ ๆ ออกมาจริงจัง ขณะที่การประกาศร่างกฏระเบียบป้องกันการใช้มือถือของเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ส่งผลต่อหุ้นกลุ่ม Tech ของจีนวานนี้(3)
• วันนี้ติดตามดูว่าศาลฯ จะมีการรับพิจารณาการโหวตนายกฯ หรือไม่ หากไม่รับคาดว่าจะมีการเสนอรายชื่อ เพื่อโหวตนายกฯ ครั้งที่ 3 ของพรรคเพื่อไทยในวันพรุ่งนี้(4) มีโอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะได้เป็นแกนนำรัฐบาลสูง อย่างไรก็ตามวันนี้จับตาการแถลงสรุปการจัดตั้งพรรคร่วมรัฐบาลใหม่ของเพื่อไทย (โดยไม่มีก้าวไกล)
• นักลงทุนต่างชาติยังเทขายหุ้นไทยต่อ วานนี้(2) Net Sell 2.5 พันล้านบาท ความไม่ชัดเจนทางการเมืองที่เป็นตัวฉุด Flow ของตลาด
• ตัวเลขเศรษฐกิจวันนี้ คือ ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐฯ
Strategy
• ตลาดหุ้น กลับเข้าสู่สูญญากาศอีกรอบหลังตลาดพันธบัตร (สหรัฐฯ-ญี่ปุ่น) ปั่นป่วน และวันนี้ นักลงทุนต้องรอดูว่าศาลรัฐธรรมนูญ จะพิจารณาว่ารับหรือไม่รับในเรื่องการโหวตนายกฯ ทำให้เราแนะนำให้ชะลอการลงทุน หรือตัดขายทำกำไรหุ้นออกไปก่อน
• หาก “เพื่อไทย” เป็นแกนนำตั้งรัฐบาลขึ้นมาจริงๆ ตามีเงื่อนไขที่จะมีการยุบสภาในภายหลัง อาจทำให้นักลงทุนมองในเชิงลบว่าจะบริหารประเทศได้ไม่ต่อเนื่อง ถ้านักลงทุนส่วนใหญ่คิดแบบนั้น จะเป็นลบต่อหุ้นขนาดใหญ่ หรือหุ้นที่อิงการลงทุน(ทางตรง) หรือไม่เป็นไปตามที่เราคาดไว้ก่อนหน้านี้
• เรายังให้น้ำหนักกับหุ้นที่อิงมาตรการเศรษฐกิจของจีน IVL, PSL, HANA
• พอร์ตหุ้นวันนี้ เรานำหุ้น CPAXT, BDMS ออก และนำ PTT เข้ามาในพอร์ต พอร์ตหุ้นประกอบไปด้วย PTT(10%), KBANK(10%), RBF*(10%), HANA*(10%), IVL(10%)
Strategy Stock Pick
PTT: (เป้าเชิงกลยุทธ์ 36.50 บาท) “จัดเงินบางส่วนเข้าหุ้นปันผลตามฤดูกาล”
• PTT เป็นหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลที่ดีที่สุดตัวหนึ่งของตลาด บนความเสี่ยงที่ต่ำ โดยปีนี้ น่าจะยังจ่ายในอัตรา @2.0 บาทได้ (ตลาดประเมินไว้ 1.90บาท) และงวดแรกมีความสามารถที่จะจ่ายได้ไม่ต่ำกว่า1.0 บาท โดย Yield รวมของทั้งปี อยู่ที่ 5.0-5.7% ในปีนี้
• กำไรของกลุ่ม PTT ควรจะดีขึ้น ...ช่วงที่ผ่านมา กำไรโรงกลั่นน้ำมัน ลดลงจาก Stock loss และค่าการกลั่นน้ำมันต่ำลง แต่ล่าสุด ค่าการกลั่นน้ำมัน ขยับขึ้นมาถึง $16 เหรียญ/บาร์เรลแล้ว ส่วนปิโตรเคมีSpread ยังต่ำแต่มีแนวโน้มดีขึ้นตามเศรษฐกิจจีน
• ผลสำรวจ Bloomberg ประเมินกำไรปี 2023 ของ PTT ไว้ที่ 9.8 หมื่นลบ. ดีขึ้นจากปีก่อนหน้านี้ 8% และจะแตะ 1.0 แสนลบ. ในปีถัดไป
Technical : IRPC, KKP
**บล.คิงส์ฟอร์ด จำกัด ประเมิน SET Index แกว่งตัวโดยมีกรอบการเคลื่อนไหว 1,540-1,560 จุด ติดตามปัจจัยการเมืองในประเทศต่อการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ในเดือน ส.ค.ขณะที่ปัจจัยภายนอกตอบรับการ Downgrade Rating ไปแล้ว แนะนำทยอยซื้อเมื่ออ่อนตัว BBL, KTB, SCB, KBANK ไต้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น / CPALL, CPAXT, CPN, CENTEL รับการท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัว
SIRI* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 2.20 บาท) แนวโน้มกำไร 2Q66 ขยายตัวได้ดีทั้ง QoQ, YoY มาจาการโอนโครงการต่อเนื่องทั้งบ้านแนวราบและคอนโด นอกจากนี้ยังมีกำไรพิเศษจากการขายที่ดินให้ JV ช่วยหนุน แนวโน้ม 2H66 มีโมเมนตัมเติบโตต่อเนื่องจนถึงจุดสูงสุดของปีในช่วง 4Q66 ตามแผนการเปิดโครงการใหม่จำนวนมากมูลค่ารวมราว 5.7 หมื่นล้านบาท (เทียบกับ 1H66 ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแบรนด์บ้านเดียวระดับบนอย่างเศรษฐสิริ 10 โครงการ 2.2 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ตลาดคาดการณ์กำไรปี 66 ที่ 4.8 พันล้านบาท +13%YoY ด้าน Valuation เทรดที่ PER 7 เท่าคาดการณ์ Dividend Yield สูงราว 7-8%
AP* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 14.50 บาท) ภาพรวมการดำเนินงานของกลุ่มอสังหาฯในปีนี้ยังมีปัจจัยบวกจาก Demand ฝั่งชาวต่างชาติ รวมไปถึงม.ผ่อนคลายบางส่วนที่ต่อเนื่องจากปี65 ด้าน AP* เองสำหรับปี 66 มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 58 โครงการ มูลค่าประมาณ 77,000 ลบ. (บ้านเดี่ยว 22 โครงการ มูลค่า 34,800 ลบ./ ทาวน์โฮม 27 โครงการ มูลค่า 26,400 ลบ./ คอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่า 11,800 ลบ./ โครงการในต่างจังหวัด 5 โครงการ มูลค่า 4,000 ลบ.) ตั้งเป้ายอดขาย 58,000 ล้านบาท(1H66 ทำได้ราว 39,501 ลบ.) เป้ารายได้รวม 100% JV ที่ 57,500 ล้านบาททั้งนี้ ปัจจุบัน ตลาดคาด กำไรสุทธิ ปี66 และ ปี67 ของ AP* จะขยายตัวต่อเนื่องที่ระดับ 6,192 ลบ. (+5.3%YoY) และ 6,508 ลบ.(+5.1%YoY) ตามลำดับ