My Earth โลกในกำมือเรา เมื่อผู้คนต่างยืนหยัดที่จะอยู่กับช่วงเวลากาลปัจจุบัน ไม่มีใครคนใดจะสามารถหันหลังกลับไปเดินทวนเข็มนาฬิกาหรือแก้ไขสิ่งที่ผ่านมาได้ มนุษย์มักพูดหรือกระทำให้เห็นอยู่เสมอว่าเราคือเจ้าแห่งโลก แต่ในความเป็นจริงโลกต่างหากคือเจ้าแห่งเรา ผู้ที่สามารถชี้ขาดชะตาชีวิตทุกชีวิตที่อาศัยอยู่บนผืนปฐพีนี้ได้ เราควรพึงระลึกอยู่เสมอว่าเราคือผู้อาศัยไม่ใช่ผู้เป็นเจ้าข้าวเจ้าของและควรจะทะนุถนอมบำรุงรักษาดูแลเอาใจใส่ ให้ความสำคัญเสมือนว่าโลกใบนี้มีชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกับเรา ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดเพื่อส่วนรวม โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตัว แม้ว่าอุณหภูมิบนโลกทุกวันนี้จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนน่าใจหาย แต่ก็ไม่มีวี่แววที่ผู้คนส่วนใหญ่จะตระหนักถึงความจริงอันน่าพิศวงนี้ ถึงรู้ดีอยู่แก่ใจว่าปริมาณก๊าซเรือนกระจกนั้นมาจากยานพาหนะที่ใช้กันเกลื่อนกลาดเต็มท้องถนนทุกวัน ควันจากปล่องโรงงานอุตสาหกรรม หรือจะเป็นเครื่องปรับอากาศในบ้าน เพียงหลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมไม่กี่ทศวรรษ การพัฒนาก็ได้นำพาโลกแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทั้งการจุดเจาะน้ำมัน การทำสัมปทานถ่านหิน การสร้างเครื่องจักรกลและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่สร้างผลกระทบมากมายมหาศาลต่อระบบริเวศ การใช้ชีวิตคนและสัตว์ รวมถึงการเปลี่ยนบ้านหลังใหญ่ใบนี้ไปตลอดกาล ความจริงที่เกิดขึ้นเหมือนกับความฝันชั่วข้ามคืน เพียงตื่นลืมตาขึ้นมาในรุ่งเช้าของวันใหม่ เราก็ลืมเลือนเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปเสียแล้ว ถึงแม้ว่าเราทุกคนจำเป็นต้องใช้ก๊าซออกซิเจนหายใจในการดำรงชีวิต แต่เราก็ยังให้ความสำคัญกับการทำงานหาเงินเลี้ยงชีพเพื่อการดำเนินชีวิตมากกว่าจะใส่ใจกับอุณหภูมิบนโลกที่อาจสูงมากพอจนสามารถฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุของเราได้ อย่างไรก็ดีเราต่างเลือกที่จะปิดหูปิดตาก้มหน้ารับกรรมจากการกระทำของตัวเอง โดยไม่ลุกขึ้นยืนทำสิ่งใดเพื่อแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้โลกใบนี้กลับงดงามสดใสเฉกเช่นเดิมภาพประกอบที่ 1 ขอบคุณ https://unsplash.com/photos/Q1p7bh3SHj8ภาพประกอบที่ 2 - 4 โดย ธารา