พาผู้อ่านย้อนกลับไปยังดินแดนฝรั่งเศสในคริสตศตวรรษที่ 17 ภายใต้การปกครองของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (Louis XIV de France) เรียกว่าเป็นยุคสมัยที่กษัตริย์มีบทบาทในการบริหารราชการแผ่นดินอย่างเต็มตัว แวดวงการศึกษาประวัติศาสตร์ยุโรป ต่างก็ยกให้พระองค์เป็นกษัตริย์ที่เป๊ะทุกระเบียดนิ้ว คงไม่มีใครไม่รู้จักพระราชวังแวร์ซายส์ (Palace of Versailles) เพราะสถานที่แห่งนี้เป็นศูนย์กลางการรวมอำนาจของกษัตริย์ที่แท้จริง และพระราชวังแห่งนี้นี่เอง เป็นแหล่งรวมเรื่องลับของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ใครจะคิดว่ากษัตริย์ที่บริหารบ้านเมืองชนิดไม่ขาดตกบกพร่อง กลับเป็นกษัตริย์ที่กลัวการอาบน้ำ มีบันทึกว่าตลอดชีวิต พระองค์อาบน้ำเพียง 3 ครั้งเท่านั้นเองถ้าจะดูความเป๊ะของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นอกจากการระดมช่างฝีมือดีมาสร้างพระราชวังแวร์ซายส์อย่างอลังการ ทุกซอกทุกมุมของพระราชวังแห่งนี้สะท้อนความรุ่มรวยทางศิลปะยุโรปเอาไว้อย่างงดงาม ว่ากันว่าตั้งแต่พระองค์ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่อายุยังน้อย ย่อมมีกำลังวังชาแข็งแรง ความคิดก้าวไกลแหลมคม เป็นต้นแบบการทรงงานตามตารางเวลา ห้ามขาดห้ามเกินเพียงวินาทีเดียวหลังจากตื่นนอนเวลาแปดโมงตรง พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 จะต้องปฏิบัติภารกิจตลอดทั้งวันตามตารางที่วางไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งร่วมรับประทานอาหารมื้อเช้า เที่ยง และเย็นพร้อมหน้ากับพระประยูรญาติ เดินทางไปโบสถ์เพื่อประกอบพิธีมิสซา ประชุมร่วมกับสภาสูง สภาการคลัง ฝ่ายกิจการศาสนาตามวันที่กำหนด ยังไม่รวมกิจกรรมสัพเพเหระจำพวกพบปะสุภาพสตรี เดินเล่นในสวนเพื่อผ่อนคลาย ที่สำคัญทุกกิจกรรมจะต้องมีระเบียบและมารยาทที่ทุกคนต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เรียกว่าเป็นกษัตริย์ที่เป๊ะที่สุดของฝรั่งเศสเลยก็ว่าได้แต่เหตุอันใดจึงทำให้บันทึกหลายฉบับต่างกล่าวขานว่า พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เป็นกษัตริย์ที่ไม่ชอบอาบน้ำ หากลองไปค้นดูเอกสารของต่างประเทศ จะใช้คำว่า 'Felthy King' แปลว่า กษัตริย์จอมซกมก แรงขนาดนั้นกันทีเดียวเชียว แต่เรื่องนี้มีคำตอบและที่มาที่ไป พระองค์ไม่ได้เป็นคนเกียจคร้านแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องป้องกันตัวเองจากโรคภัยไข้เจ็บ ด้วยยุคนั้นโรคระบาดกำลังเป็นปัญหาที่ทวีความรุนแรงในยุโรป คร่าชีวิตชาวบ้านชาวเมืองไปเป็นจำนวนมาก ต่างคนต่างเชื่อกันว่าเชื้อโรคจะมากับน้ำ การอาบน้ำจะทำให้ร่างกายอ่อนแอ ติดโรคระบาดได้ง่าย กษัตริย์จอมเนี้ยบอย่างพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ก็คงไม่ปล่อยให้เนื้อตัวสกปรกส่งกลิ่นเหม็น ถึงจะไม่ได้อาบน้ำแต่พระองค์ก็มีวิธีจัดการให้ร่างกายสะอาดสะอ้าน ส่งกลิ่นหอมอยู่ตลอดเวลาวิธีดังกล่าวคือการใช้สุราที่มีส่วนผสมของเอทานอลมาเช็ดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย แน่นอนว่าเป็นการใช้สารเคมีในการฆ่าเชื้อโรค และใช้น้ำหอมที่มีส่วนผสมของไม้กฤษณา กานพลู ยางไม้หอม จันทน์เทศ และกำยาน ซึ่งผ่านการต้มในน้ำดอกกุหลาบ เพิ่มความหอมด้วยกลิ่นดอกมะลิ ต่อมไขมันของกวางมัสค์ บางครั้งก็ใช้ส่วนผสมเหล่านี้ไปอบร่ำเสื้อผ้า ทำนองเดียวกับการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มของคนสมัยนี้นั่นเอง และที่สำคัญตามบันทึกกล่าวไว้ว่า ทุกซอกมุมของพระราชวังแวร์ซายส์ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจากพืชพรรณธรรมชาติ สลับสับเปลี่ยนกันไปแต่ละวัน บางวันเป็นกลิ่นดอกส้ม บางวันเป็นกลิ่นกุหลาบ ด้วยเหตุนี้แม้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 จะไม่อาบน้ำ แต่พระองค์ใช้วิธีดังกล่าวทำให้เนื้อตัวสะอาดอยู่ได้ตลอดเวลาเรื่องราวของกษัตริย์และชนชั้นปกครองต่างมีอะไรให้น่าค้นหาอีกมากมาย สมัยก่อนผู้มีอำนาจจะสร้างสรรค์ภูมิปัญญาถ่ายทอดให้ชาวบ้านชาวเมืองได้นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน วิธีการทำน้ำหอมของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ภายหลังได้ตกทอดเป็นตำราความรู้ ถือเป็นต้นกำเนิดการทำน้ำหอมที่ยึดถือกันมาจนถึงยุคนี้ เป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญที่ทำให้น้ำหอมจากฝรั่งเศสมีคุณภาพ มีชื่อเสียง และมีมูลค่าสูงที่สุดในโลก จากกระบวนการคัดสรรวัตถุดิบและวิธีการสกัดร้ำหอมอย่างพิถีพิถันนั่นเองเครดิตรูปภาพ- รูปภาพหน้าปก โดย Mamamayerle : Pixabay- ภาพประกอบที่ 1 โดย Lanz : Pixabay- ภาพประกอบที่ 2 โดย Chantal Garnier : Unsplash- ภาพประกอบที่ 3 โดย Clark Van Dee Beken : Unsplash- ภาพประกอบที่ 4 โดย Domeckopol : Pixabay