สวัสดีครับเพื่อนๆ ทุกคน วันนี้ผมจะพาเพื่อนๆ ย้อนเวลากลับไปสัมผัสกับความทรงจำในวัยเด็ก กับเกมที่หลายคนอาจจะเคยเล่น หรืออย่างน้อยก็เคยได้ยินชื่อ Dragon Ball Z III: Ressen Jinzōningen เกม RPG สุดคลาสสิคบนเครื่อง Famicom ที่เคยสร้างความประทับใจให้กับใครหลายๆ คน (รวมถึงตัวผมเองด้วย!) บอกตามตรงว่าตอนเด็กๆ ผมชอบเกมนี้มากกกกก (ก.ไก่ล้านตัว) จำได้ว่าสมัยนั้นต้องไปเช่าตลับมาเล่นที่บ้าน แล้วก็เล่นวนไปวนมาจนแทบจะท่องได้ทุกฉาก ทุกบทสนทนา มันเป็นเกมที่ให้ความรู้สึกเหมือนได้ผจญภัยไปในโลกของดราก้อนบอลจริงๆ ได้บังคับตัวละครที่เราชื่นชอบ ได้ต่อสู้กับเหล่าร้าย ได้สัมผัสกับเนื้อเรื่องที่เข้มข้น แถมยังมีระบบการเล่นที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใครอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นเกมที่ครบเครื่องจริงๆ ครับ เอาล่ะ! เกริ่นมาซะยาว เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ผมจะขอรีวิวเกม Dragon Ball Z III: Ressen Jinzōningen แบบเจาะลึกทุกหัวข้อ พร้อมเล่าประสบการณ์ส่วนตัวที่ผมได้พบเจอในระหว่างเล่นเกมนี้ให้เพื่อนๆ ฟังกันนะครับ เนื้อเรื่อง (Story) สำหรับเนื้อเรื่องของเกมนี้ จะอิงมาจากภาค "มนุษย์ดัดแปลง" ในอนิเมะ Dragon Ball Z โดยจะเริ่มต้นตั้งแต่โกคูเดินทางไปดาวนาเม็ก และจบลงที่การต่อสู้กับเซลล์ร่างแรก ซึ่งถือว่าครอบคลุมเนื้อหาสำคัญๆ ของภาคนี้ไว้ได้อย่างครบถ้วน แต่สิ่งที่ทำให้เกมนี้มีความพิเศษก็คือ การใส่เนื้อเรื่องเสริมเข้ามา เช่น การได้ต่อสู้กับพี่ชายของฟรีเซอร์ ซึ่งเนื้อเรื่องเสริมเหล่านี้ ช่วยเพิ่มสีสันและความน่าสนใจให้กับเกมได้เป็นอย่างมาก ทำให้เราได้สัมผัสกับมุมมองใหม่ๆ ที่ไม่เคยเห็นในอนิเมะมาก่อน ผมจำได้ว่าตอนเล่นครั้งแรก รู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้เห็นฉากต่างๆ ในอนิเมะถูกนำมาสร้างเป็นเกม อย่างเช่น ฉากที่โกคูแปลงร่างเป็นซูเปอร์ไซย่าครั้งแรก หรือฉากที่เบจิต้าสู้กับมนุษย์ดัดแปลงหมายเลข 19 แถมยังมีฉากใหม่ๆ ที่ไม่เคยเห็นในอนิเมะอีกด้วย เช่น ฉากที่เราต้องบังคับพวกโกฮังตามหาที่ซ่อนตัวของมนุษย์ดัดแปลง ยิ่งเล่นก็ยิ่งอิน ยิ่งอยากรู้ว่าเนื้อเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป บอกเลยว่าวางจอยไม่ลงจริงๆ ครับ! ระบบการเล่น (Gameplay) ระบบการเล่นของ Dragon Ball Z III ถือว่าเป็นจุดเด่นที่ทำให้เกมนี้แตกต่างจากเกมดราก้อนบอลเกมอื่นๆ ในยุคนั้น โดยตัวเกมจะใช้ระบบ "Card Battle" ซึ่งผู้เล่นจะต้องเลือกใช้การ์ดเพื่อโจมตี ป้องกัน หรือใช้ท่าไม้ตายต่างๆ ซึ่งการ์ดแต่ละใบก็จะมีค่าพลังและเอฟเฟกต์ที่แตกต่างกันออกไป เช่น การ์ดโจมตีธรรมดา การ์ดป้องกัน การ์ดใช้ไอเทม และการ์ดท่าไม้ตายต่างๆ อย่างเช่น "พลังคลื่นเต่า" "Kamehameha" หรือ "Final Flash" ในช่วงแรกๆ ที่เริ่มเล่น ผมยังไม่ค่อยเข้าใจระบบการ์ดเท่าไหร่ เล่นไปแบบงงๆ มั่วๆ กดๆ ไปมั่วๆ จนแพ้ก็มี แต่พอเล่นไปสักพัก ก็เริ่มจับทางได้ รู้ว่าการ์ดใบไหนใช้ทำอะไร ควรใช้ตอนไหน เช่น ถ้าศัตรูใช้การ์ดโจมตี เราก็ควรเลือกใช้การ์ดป้องกัน หรือถ้าศัตรูมีพลังป้องกันสูง เราก็ควรเลือกใช้การ์ดท่าไม้ตายที่มีพลังโจมตีสูง ซึ่งตรงนี้แหละครับที่เป็นเสน่ห์ของเกมนี้ มันทำให้เราต้องวางแผน คิดกลยุทธ์ในการต่อสู้ ไม่ใช่แค่บุกแหลกอย่างเดียว เหมือนกับกำลังเล่นเกมไพ่จริงๆ เลย นอกจากระบบการ์ดแล้ว เกมนี้ยังมีระบบ "World Map" ที่ให้ผู้เล่นสามารถเลือกการ์ดแล้วเดินบนเส้นทางต่างๆ ในแผนที่ตามจำนวนการ์ดที่ได้ระบุไว้อย่างเช่น ถ้าคุณเลือกการ์ดที่มี 7 ดาว คุณก็จะเดินได้ 7 ช่องอะไรวพกนี้ และเมื่อสิ้นสุดการเดินเราจะได้พบกับเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย เช่น การต่อสู้กับศัตรูแบบสุ่ม การเล่นมินิเกมเพื่อสะสมการ์ดต่างๆ ที่ช่วยให้คุณได้เปรียบในการต่อสู้ไม่ว่าจะเป็นการ์ดยาเพิ่มพลัง การ์ดที่เปลื่ยนให้การ์ดปกติกลายเป็นการ์ดท่าไม้ตาย หรือแม้กระทั่งการ์ดที่จะให้คุณสามารถซุบชีวิตที่เสียชีวิตไปในระหว่างที่กำลังต่อสู้อยู่ได้ ระบบนี้จะช่วยให้เกมมีความหลากหลายในการเล่นในการวางกลยุทธ์มากยิ่งขึ้น กราฟิก (Graphics) ในส่วนของกราฟิก ต้องยอมรับว่าเกมนี้เป็นเกมยุค Famicom ภาพอาจจะไม่ได้สวยงามอลังการงานสร้างเหมือนเกมยุคใหม่ๆ แต่ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีในระดับหนึ่ง ตัวละคร ฉาก และเอฟเฟกต์ต่างๆ ถูกออกแบบมาให้ตรงกับต้นฉบับอนิเมะมากที่สุด เช่น ผมทรงแหลมๆ ของโกคู ชุดเกราะของเบจิต้า หรือ แสงสีฟ้าของพลังคลื่นเต่า ผมจำได้ว่าตอนเด็กๆ มองว่ากราฟิกเกมนี้สวยมากนะ โดยเฉพาะฉากต่อสู้กับบอส ที่มีการใช้ท่าไม้ตายอลังการงานสร้าง อย่างเช่น "พลังคลื่นเต่า" หรือ "Final Flash" คือแบบ... มันส์มาก! ถึงแม้ภาพจะไม่ได้คมชัด แต่ก็สามารถสื่ออารมณ์และความรู้สึกของตัวละครออกมาได้เป็นอย่างดี อย่างเช่น สีหน้าของโกคูตอนโกรธ หรือ ท่าทางของฟรีเซอร์ตอนที่กำลังจะใช้ท่าไม้ตาย เสียงประกอบ (Sound) เสียงประกอบของเกมนี้ ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีไม่แพ้กัน เพลงประกอบมีความไพเราะ ติดหู และเข้ากับบรรยากาศของเกมได้เป็นอย่างดี เช่น เพลงในฉากต่อสู้ ที่ฟังแล้วรู้สึกฮึกเหิม หรือเพลงในฉากเดินทาง ที่ฟังแล้วรู้สึกผ่อนคลาย ส่วนเสียงเอฟเฟกต์ต่างๆ ก็ทำออกมาได้สมจริง ไม่ว่าจะเป็นเสียงระเบิด เสียงการต่อสู้ เสียงการบินไปบินมาของตัวละครในระหว่างที่กำลังต่อสู้อยู่ อย่างเช่น เสียง "ปิ้วๆๆ" ตอนที่ตัวละครปล่อยพลัง หรือเสียง "ตูม!" ตอนที่เกิดการระเบิด ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกยิ่งอินเข้าไปอีก ความยากของเกม (Difficulty) ในเรื่องของความยาก ผมว่าเกมนี้มีความยากระดับปานกลาง ไม่ได้ง่ายเกินไป แต่ก็ไม่ได้ยากจนเกินไป ผู้เล่นใหม่ๆ อาจจะต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ระบบการเล่นสักหน่อย เช่น การเลือกใช้การ์ดให้เหมาะสมกับสถานการณ์ การจัดการไอเทม หรือการวางแผนในการต่อสู้ แต่ถ้าเข้าใจแล้วก็จะสามารถเล่นได้อย่างสนุกสนาน ผมจำได้ว่าตอนเล่นครั้งแรก ตายบ่อยมาก โดยเฉพาะตอนสู้กับบอส อย่างพี่ฟรีเซอร์ ร่างสุดท้าย ที่โหดมากๆ แต่พอเล่นไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเก่งขึ้น รู้วิธีรับมือกับศัตรูแต่ละตัว เช่น การใช้ไอเทมเพิ่มพลัง การใช้ท่าไม้ตายให้ถูกจังหวะ และสามารถผ่านด่านต่างๆ ไปได้ ซึ่งความท้าทายตรงนี้แหละครับ ที่ทำให้ผมติดเกมนี้งอมแงม สรุป (Conclusion) โดยรวมแล้ว Dragon Ball Z III: Ressen Jinzōningen เป็นเกม RPG ที่ยอดเยี่ยม มีเนื้อเรื่องที่น่าติดตาม ระบบการเล่นที่แปลกใหม่ กราฟิกและเสียงประกอบที่ทำออกมาได้ดี และมีความยากที่พอเหมาะ ถ้าเพื่อนๆ คนไหนเป็นแฟนดราก้อนบอล หรือชอบเล่นเกม RPG ผมขอแนะนำเกมนี้เลยครับ รับรองว่าจะไม่ผิดหวัง สำหรับผมแล้ว Dragon Ball Z III: Ressen Jinzōningen ไม่ใช่แค่เกม แต่มันคือความทรงจำในวัยเด็ก ความสนุกสนาน ความตื่นเต้น และความประทับใจ ที่ผมไม่มีวันลืม และหวังว่าเพื่อนๆ จะได้รับความรู้สึกแบบเดียวกันนี้จากเกมนี้เช่นกันนะครับ คะแนน: 9/10 เครดิตภาพ ทางผู้เขียนได้ซื้อเกมนี้มาเล่นเองถ่ายรูปลงเอง เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !