ผลไม้ป่าชนิดหนึ่งซึ่งผู้เขียนพบโดยบังเอิญ ที่วัดป่าดงหอย สาขาหนองป่าพงที่ 16 ทำให้ย้อนนึกถึงวัยเยาว์ เรานั่งเงี่ยหูฟังเสียงหล่นดัง ตุ๊บ! แล้วรีบวิ่งไปดู สิ่งที่ลุ้นคือขอให้ผลของมันไม่แตก เพราะลำต้นของมันมีความสูงน่าจะประมาณ 40 เมตร หรือมากกว่านั้น เอาง่าย ๆ ว่าแหงนมองจนคอตั้งบ่า ต้องรอให้ลูกหล่นลงมาแล้วลุ้นว่าลูกไหนแตกไม่แตก บางลูกสุกมาก ๆ ตกลงมาโดนพื้นดินแข็ง ๆ ถึงกับเละเลยทีเดียว หากตกลงมาไม่แตกเราจะแกะกินเนื้อข้างในที่มีอยู่ไม่มากเพียงแค่ลูกละ สามหรือสี่เม็ดเท่านั้น เราเรียกผลไม้ชนิดนี้ ว่า “ขนุน”เมื่อตอนเด็ก ๆ เราอาศัยอยู่ที่ไร่ เราไม่มีบ้านในหมู่บ้านเหมือนคนอื่น แม่และพ่อสร้างกระท่อมหรือคนอีสานเรียกว่า เถียง คนปักษ์ใต้เรียกว่า หนำ ขนำ หลังย่อม ๆ แต่เพียงพอสำหรับให้สมาชิกในบ้านทั้ง 6 คนได้อยู่สบายไม่โดนแดดโดนฝน สมัยนั้นไม่มีไฟฟ้า เราใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าด จุดเพื่อให้แสงสว่างในยามค่ำคืน ตอนนั้นเรายังไม่หรอกว่าความลำบากคืออะไร แต่คิดว่าพ่อกับแม่คงรู้จักเป็นอย่างดี ถัดไปไม่ไกลจากกระท่อมมากนักมีต้นขนุนป่าอยู่ต้นหนึ่ง ขนุนป่า คนอีสานเรียก “ขนุน” คนนราธิวาส(มาลายู)เรียก “ยาตู” แปลกใจไหมค่ะ ขนุนบ้านที่มีขายทั่วไปในปัจจุบันที่ภาษาภาคกลางเรียก ขนุน นั้น คนอีสานเรียก “บักมี้” คนปักษ์ใต้เรียก “หนุน ลูกหนุน” แต่ขนุนป่าเรากลับเรียกว่า “ขนุน” อย่างหน้าตาเฉย หากจะให้เดาก็คงเพราะขี้เกียจเรียกขนุนป่าให้มันยืดยาวเลยเรียกให้สั้นลงเป็นขนุนนั่นเองขนุน หรือขนุนป่า เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ มีความสูงโตเต็มที่ถึง 30-50 เมตร ลำต้นตรงและมีลาย คล้ายตุ๊กแก หรือคล้ายลายของชุดทหารบก ลักษณะจะสูงขึ้นไปแล้วไปแตกใบอยู่ด้านบน ผลของขนุนค่อนข้างกลม และไม่ใหญ่มากนัก สักเท่ากำมือหรือใหญ่กว่านิดหน่อย เปลือกมีหนามคล้ายทุเรียนแต่หนามจะเล็กและไม่แข็ง ผิดกับขนุนบ้านที่ผิวค่อยข้างเรียบและลูกโต รสชาติ เปรี้ยว ๆ หวาน ๆ มีประโยชน์คือ ลำต้นให้ร่มเงาได้เป็นอย่างดีเพราะมีความสูงใหญ่ และแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปได้กว้าง ผลของขนุนกินได้ อุดมไปด้วยวิตามินซี และเป็นอาหารของสัตว์ป่า แก่นของต้นใช้ต้มเพื่อย้อมจีวรของพระสงฆ์ได้ขนุนป่าสามารถขึ้นได้ตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าดงดิบและขึ้นได้ในทุก ๆ ภาคของประเทศไทย จะแตกต่างไปก็เพียงชื่อที่เรียกเท่านั้น ปัจจุบันขนุนป่าต้นที่อยู่ในไร่นั้นได้ตายลงไปแล้ว โชคดีที่ในวัดใกล้บ้านยังพอมีหลงเหลือให้ลูกหลานได้ดูอยู่บ้าง ::::::เรื่องและภาพโดยบุหงาอันดามัน:::::อ้างอิงข้อมูลhttp://share.psu.ac.th/blog/marky11/24895http://www.dnp.go.th/Pattani_botany