ทุกวันนี้หากสำรวจตู้เสื้อผ้า เราทุกคนคงมีเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าฝ้ายมากมายหลายตัว ทำให้หลายคนรู้จัก ฝ้าย (Cotton) ในฐานะที่เป็นวัสดุชั้นดีสำหรับนำมาทอเป็นเสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่ม แล้วมนุษย์รู้จักฝ้ายได้อย่างไร ถึงแม้ว่าฝ้ายจะเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้ แต่จากการเดินเรือของคนในสมัยก่อน ทำให้ฝ้ายแพร่กระจายไปยังถิ่นฐานต่าง ๆ ทั่วทุกภูมิภาค โดยเฉพาะพื้นที่โซนร้อนอย่างแอฟริกาและเอเชีย แต่ถึงกระนั้นฝ้ายในยุคแรกก็ไม่ได้มีประโยชน์เพียงในอุตสาหกรรมสิ่งทอ แต่ยังนำมาใช้ทำยาคุมกำเนิดสำหรับผู้ชายได้อย่างน่าทึ่งรูปภาพโดย Erbs55 : Pixabayก่อนที่ฝ้ายจะมาถึงประเทศไทย ในภูมิภาคเอเชียของเรา อินเดียเป็นชาติแรกที่รู้จักการปลูกฝ้าย และนำมาทอเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ เมื่อครั้งพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช (Alexander The Great) กษัตริย์กรีก ยกทัพข้ามโลกบุกมายังอินเดีย จึงได้ค้นพบนวัตกรรมการปลูกฝ้ายเพื่อใช้ทอผ้า ณ ดินแดนแห่งนี้เป็นครั้งแรก นั่นทำให้ชมพูทวีปเป็นที่รู้จักของชนชาติต่าง ๆ ทั่วโลก จากการเปิดเส้นทางการค้าโดยมีผ้าฝ้ายเป็นสินค้าสำคัญรูปภาพโดย Engin_Arkyurt : Pixabayส่วนประเทศไทยของเราก็รู้จักฝ้ายมาตั้งแต่โบราณด้วยเช่นกัน จากพุทธบัญญัติที่มีมาตั้งแต่กรุงสุโขทัย กล่าวไว้ว่า พระภิกษุสงฆ์สามารถใช้ผ้าฝ้ายเป็นเครื่องนุ่งห่มได้ จึงสันนิษฐานว่า คนไทยรู้จักผ้าฝ้ายมานานแล้วตั้งแต่พระพุทธศาสนาเผยแพร่มายังบ้านเรา การทอผ้าฝ้ายในสมัยแรกเป็นกิจวัตรที่ทำเพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ปลูกฝ้ายเพื่อทอเป็นเครื่องนุ่งห่มสำหรับพระสงฆ์ก่อน เมื่อมีเศษฝ้ายที่หลงเหลือ จึงนำมาทอเป็นผ้านุ่งเป็นของตนเอง ด้วยความเชื่อว่าปุยฝ้ายที่เหลือจากการทอผ้าพระสงฆ์เป็นอานิสงค์บุญแรงสำหรับชาวพุทธในยุคนั้นรูปภาพโดย Planweizhuannong : Pixabayยุคสมัยเปลี่ยนไปวันแล้ววันเล่า ฝ้ายกลายเป็นพืชที่นิยมปลูกกันทั่วไปบริเวณบ้าน จากการนำปุยฝ้ายมาทอผ้า ก็เริ่มมีการคิดค้นนำมายัดเป็นไส้หมอน ทอเป็นผืนเพื่อใช้คลุมสิ่งของและวัสดุในครัวเรือน ซึ่งปุยฝ้ายที่นำมาทอผ้าได้มาจากดอกฝ้าย เมื่อใช้ปุยฝ้ายหมดจะเหลือเมล็ดฝ้ายเอาไว้ บางส่วนนำไปขยายพันธุ์ บางส่วนก็นำไปใช้ประโยชน์ได้อีก โดยเฉพาะการนำมาทำเป็น ยาคุมกำเนิดสำหรับผู้ชายเราต้องเข้าใจก่อนว่า สมัยก่อนกิจกรรมที่คนทั่วไปทำคือการหว่านไถทำเกษตรกรรม เตรียมน้ำท่า หุงหาอาหาร เป็นกิจวัตรที่วนเวียนไปอย่างนี้ ต่างจากยุคปัจจุบันที่ในหนึ่งวันมีสารพัดกิจกรรมให้เลือกทำจนเราไม่มีเวลาว่าง และความว่างของคนในสมัยก่อนนี่เองจึงเป็นช่วงเวลาที่นำไปสู่การเล่นจ้ำจี้ในเคหสถาน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น วิทยาการการแพทย์ก็ไม่ก้าวหน้าอย่างในปัจจุบัน พืชพรรณธรรมชาติและสมุนไพรในรั้วบ้าน จึงเป็นยาขนานดีสำหรับหญิงชายที่ชอบเล่นจ้ำจี้ แต่ไม่อยากมีลูกดกจนเลี้ยงดูไม่ไหวรูปภาพโดย Hans : Pixabayเมล็ดฝ้ายที่เหลือจากการทอผ้า จึงถูกนำไปสกัดเป็นน้ำมัน ระยะแรกการสกัดน้ำมันเมล็ดฝ้ายนำไปใช้ประโยชน์ในการบำรุงผิวพรรณของผู้หญิง ก่อนที่จะมีการทดลองนำมารับประทาน เพราะสมัยนั้นเชื่อว่าผู้ชายที่กินน้ำมันเมล็ดฝ้าย ร่างกายจะแข็งแรง ฟิตปึ๋งปั๋งพร้อมออกสมรภูมิบนเตียงนอนกับคู่รัก แล้วจึงปรากฎผลลัพธ์ว่า เมื่อกินน้ำมันดอกฝ้ายแล้วไปทำกิจกรรมอย่างว่า ฝ่ายหญิงจะไม่ตั้งครรภ์ ตรงข้ามกับชายหนุ่มละแวกเดียวกันที่ไม่คุมกำเนิดด้วยน้ำมันเมล็ดฝ้าย กลับมีลูกดกหัวปีท้ายปีเป็นว่าเล่นรูปภาพโดย @Dientitien.Mama : Unsplashจากความเชื่อดังกล่าว เมื่อวิทยาการทางการแพทย์ก้าวหน้าในยุคสมัยต่อมา จึงมีการทดลองให้ผู้ชายจำนวนหนึ่งรับประทานน้ำมันเมล็ดฝ้ายนานเป็นเวลา 6 เดือน พบว่าเมล็ดฝ้ายมีสารกอสซีปอล (Gossypol) เป็นตัวช่วยให้อสุจิฝ่อ ไม่แข็งแรงพอที่จะปฏิสนธิได้ จนมีการนำมาทำเป็นยาเม็ดคุมกำเนิดสำหรับผู้ชายในแถบอเมริกาและยุโรปเป็นระยะเวลาสั้น ๆ นั่นจึงเป็นคำตอบสำหรับความเชื่อดังกล่าว แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้หลายคนยังถือว่าการคุมกำเนิดเป็นเรื่องที่เพศหญิงต้องเป็นฝ่ายดูแลจัดการ ยาคุมกำเนิดสำหรับผู้หญิงมีขายทั่วไป ในขณะที่ดอกฝ้ายในบ้านเราไม่นิยมปลูกกันแล้ว ส่วนในต่างประเทศ การปลูกดอกฝ้ายเป็นไปเพื่อนำมาใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอเท่านั้น และยาเม็ดคุมกำเนิดสำหรับผู้ชายก็ไม่มีให้เห็นแล้วในปัจจุบันรูปภาพหน้าปกโดย Marianne Krohn : Unsplash