เล่าเรื่องล้านนาครั้งนี้ เราจะพาทุกคนนั้นมาที่วัดศรีนวรัฐ บ้านทุ่งเสี้ยว อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ วันนี้เราจะมาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของ “ไทเขิน” ให้เพื่อน ๆ ได้ทราบกันเพราะว่าพื้นที่ที่นี่เรียกว่าเป็นชุมชนของชาวไทเขินที่อยู่อาศัยกันเยอะและชุมชนนี้มีความเป็นมายังไงนั้นเรามาเริ่มพร้อม ๆ กันเลยค่ะ เริ่มเดิมทีนั้นหมู่บ้านทุ่งเสี้ยวได้รับอิทธิพลจากเชียงตุงเพราะก่อนนั้นเชียงใหม่ล้างไป 200 ปี เจ้ากาวิละท่านได้ไปกวาดต้อนที่เชียงรุ้ง เชียงตุง เกือบจะถึงจีนสิบสองปันนาและเอามาไว้ตามหัวเมืองของเชียงใหม่ซึ่งบ้านทุ่งเสี้ยวนี้ก็ได้รับจากเชียงตุงมาก็จะอยู่ตามลุ่มน้ำแม่ขาน และถ้าพูดถึงเรื่องของเอกลักษณ์ชาวไทเขิน เราเห็นเอกลักษณ์ของชาวไทเขินมีความพิเศษคือ ภาษาพูด เขาจะพูดเขินกันน้ำเสียงภาษาและความหมายก็จะแตกต่างกับล้านนา คำเมือง อย่างคำว่า “กินข้าว” เขาก็จะบอกว่า “กิ้นเข่า” และคำว่า “น้ำ” เขาก็จะเรียกว่า “น้าม” และอย่างที่นี่ไทเขินเขาว่ารักษากันเหนียวแน่นในเรื่องของวัฒนธรรมไทเขิน คือเขาจะยึดหลักพื้นถิ่นเก่าคือว่าวัฒนธรรม เอกลักษณ์อะไรต่าง ๆ ที่การมาในวัดก็ดีก็คือเอาวัฒนธรรมของไทเขินเป็นส่วนใหญ่ (ภาพโดยผู้เขียน) อัตลักษณ์และเอกลักษณ์ของชาวไทเขินก็จะมาจากการแต่งกายในช่วงของเทศกาลแต่ละเทศกาลในการแต่งกายก็จะแบ่งชนชั้นฐานะถ้าคนมีฐานะดีหน่อยก็จะใส่เสื้อผ้าที่ดูออกเลื่อม ๆ คือเป็นผ้าแพรหลากสีสัน ชุดของผู้ชายจะเป็นเสื้อผ่ากลางผ่าคอแล้วก็จะมีเสื้อใส่ซ้อนกันอีกทีหนึ่งและส่วนของผู้หญิงก็จะเป็นเสื้อปั๊ดคือใส่กระดุมข้าง ๆ จะเรียกว่าเสื้อปั๊ด (ภาพโดยผู้เขียน) และนี่ก็คือเรือนจำลองของไทเขินเราจะสังเกตได้ยังไงว่าเรือนไหนเป็นเรือนไทเขินบ้างนั้นก็คือคนที่เป็นช่างสร้างบ้านเขาก็จะรู้ได้ทันทีก็คือดูจากจั่ว จั่วก็คือมุมข้างบนของหลังคาเรือนไทเขินส่วนใหญ่เขาจะไม่ใช้ไม้กาแลและฝาข้างบ้านเขาจะใช้ที่เรียกว่าสรนัย ลักษณะก็คือจะมีฝาไหลคือเอาไว้รับลมได้เหมือนหน้าต่างเขาเรียกกันว่าฝาไหล บันไดก็จะมีการฉลุเป็นแป้นบันไดและราวบันไดก็จะฉลุเหมือนกัน ลักษณะของเรือนก็จะบ่งบอกถึงฐานะและเรือนหลังนี้ก็จะอยู่ในฐานะปานกลางถ้าต่ำจากนี้ไปก็จะเป็นบ้านไม้ไผ่ (ภาพโดยผู้เขียน) เดินขึ้นมาบนเรือนไทเขินเราก็จะมุ่งหน้ามาทีเตาไฟก่อนเลยนะคะเพราะเตาไฟที่นี่เป็นห้องของผู้หญิงเพราะส่วนใหญ่ผู้หญิงเขาก็จะเข้ามาทำอาหารกัน ผู้ชายเขาก็จะไปไร่ไปสวนตื่นเข้ามาก็จะไปซะเง้อไปส่องเอาวัวเอาควายไปล่ามก่อน ผู้หญิงก็จะเข้าครัวเตรียมอาหารให้สามีให้ลูก ก็เลยเรียกว่าห้องของผู้หญิง แล้วอย่างเตาไฟอันนี้ถ้าเราเอาวางที่พื้นไม้บนเรือนพอมันร้อนมันก็จะไหม้ ชาวบ้านก็เลยเอาภูมิปัญญาของคนสมัยก่อนมาทำกระบะดินเพื่อเอาไว้รองไม่ให้มันร้อนลงพื้นไม้และเขาก็เรียกเตาไฟนี้ว่า “เตาปรุง” สำหรับเพื่อน ๆ คนไหนที่อยากจะมาเรียนรู้ศึกษาเรื่องราวของกลุ่มชาติพันธุ์ไทเขินก็ลองแวะมาที่วัดศรีนวรัฐได้นะคะ มาพูดคุยกับพระครูถาวร นพรัตน์ ท่านก็จะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และสุดท้ายนี้เราก็อยากจะฝากถึงเพื่อน ๆ หรือนักท่องเที่ยวที่อยากมาเที่ยวมาศึกษาความรู้ที่นี่ก็คือในส่วนของทางวัดเขาก็ได้มีการอนุรักษ์วัฒนธรรม ประเพณีต่าง ๆ ไว้ให้ลูกหลานเขาได้ดูได้เห็นกันซึ่งก็ได้สร้างเรือนหลังนี้ขึ้นเพื่อเป็นพิพิธภัณฑ์ไทเขินเพื่อมาช่วยกันอนุรักษ์ ฟื้นฟูให้บ้านไทเขินยังคงอยู่ถึงลูกถึงหลานต่อไป