ชวนอ่านบทวิเคราะห์เพื่อรู้เท่าทันประวัติศาสตร์ ผ่านการศึกษา ‘ชาตินิยมในแบบเรียนไทย’ภาพโดย K.N. การศึกษาความรู้เรื่องราวของประวัติศาสตร์ มักมีชุดความรู้อันเป็นข้อตกลงร่วมกันของทุกคนในสังคม นำไปสู่ความรู้สึกรักและหวงแหนถึงรากเหง้าอันมีมานานของประเทศชาติ แน่นอนว่าความรู้สึกรักและหวงแหนในชาติของตนจะมีความรู้สึกเพิ่มพูนไปไม่ได้หากขาดซึ่งคู่เปรียบเพื่อให้ความรู้สึก เราจะรู้ว่าเรารักสิ่งหนึ่งหรือชอบสิ่งใดมากกว่าก็ต่อเมื่อสิ่งเหล่านั้นมีคู่เปรียบเทียบ และสิ่งที่ชอบหรือรักน้อยกว่าย่อมถูกอธิบายถึงการกระทำว่าเป็นเพราะเหตุใด เช่น สวยน้อยกว่า หรือมีตำหนิมากกว่า เช่นเดียวกับความรู้สึกเรื่องชาตินิยม เรารู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียว รัก และหวงแหนชาติ สิ่งเหล่านี้ไม่พ้นมาจากเรื่องของการมีคู่เปรียบเทียบ และคู่เปรียบเทียบในความรู้สึกชาตินิยมของคนไทยก็หนีไม่พ้นบรรดาประเทศเพื่อนบ้านที่มีประวัติศาสตร์และความทรงจำในอดีตร่วมกันอย่างขาดไม่ได้ประวัติศาสตร์ที่เราศึกษาในแบบเรียน บางบทตอนมักแฝงไปด้วยน้ำเสียงของอคติ การถือฝ่าย และการกล่าวโดยอ้อม หรือละเว้นการให้ข้อมูลในส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกัน การบอกเล่าบันทึกข้อมูลของประวัติศาสตร์กระแสหลักนั้น หลีกหนีไม่พ้นเรื่องของการกล่าวถึงบ้านเมือง หรือรัฐที่มีความสัมพันธ์ต่อกันในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งที่เป็นพันธมิตร ผู้รุกราน ไปจนถึงคู่สงครามที่ต่างถูกบอกเล่าข้อมูลในหน้าประวัติศาสตร์ของเพื่อนบ้านแต่เพียงเล็กน้อย การสร้างสรรค์แบบเรียนไทยที่ยึดตามหลักของประวัติศาสตร์กระแสหลักได้บ่มเพาะกระแสชาตินิยมซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องดีประการหนึ่งที่ผู้เรียนมีความรู้สึกรักและหวงแหนในแผ่นดินเกิด อีกประการกลับสร้างชุดความรับรู้เกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้านที่แฝงไปด้วยความเกลียดชังประการหนึ่ง ซึ่งนำไปสู่การใช้ข้ออ้างทางประวัติศาสตร์ในการโจมตีหรือเป็นเหตุแห่งความเกลียดชัง ซึ่งเราพบเห็นได้บ่อยครั้งในปัจจุบันขอบคุณภาพ : David Peterson จาก Pixabay เข้าถึงจาก https://pixabay.com/th/photos/2529147/ นิตยาภรณ์ พรมปัญญา และ มาโนช พรมปัญญา กล่าวว่า‘...อย่าเป็นทาสความรู้ประวัติศาสตร์ซึ่งสร้างและบงการโดยผู้มีอำนาจกลุ่มเดียว...’(ชาตินิยมในแบบเรียนไทย, 2557)ในสังคมปัจจุบัน เราพบความอคติระหว่างกันและกันในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะ ไทย-พม่า ซึ่งในชุดความรู้ทางประวัติศาสตร์ ประเทศทั้งสองถือได้ว่าอยู่ในสถานะคู่สงคราม การปลูกฝังความรู้ทางประวัติศาสตร์ได้ปลูกฝังแนวคิดเกี่ยวกับการต่อสู้กู้ชาติ และเรื่องของวีรบุรุษ ผู้ศึกษาเมื่อได้เรียนรู้ก็จะเกิดความนับถือชื่นชมและภูมิใจในความเป็นมาของประเทศชาติ ในขณะเดียวกัน ประเทศที่เป็นคู่สงครามจึงตกอยู่ในสถานะของตัวร้าย หรือผู้รุกราน เช่นเดียวกับความรู้สึกของประเทศไทยเมื่อมองดูเพื่อนบ้านอย่างประเทศพม่าหรือเมียนมาร์ ในฐานะของศัตรูผู้รุกรานนั่นเอง นิตยาภรณ์ พรมปัญญา และ มาโนช พรมปัญญา กล่าวว่า เมื่อกล่าวถึง “พม่าหรือเมียนมาร์” นั้น บ่อยครั้งที่คนไทยมักพลั้งเผลอมุ่งมอง “พม่า” ในฐานะของ “ปัจจามิตร” ...(ชาตินิยมในแบบเรียนไทย, 2557)ขอบคุณภาพ : Gerd Altmann จาก Pixabay เข้าถึงจาก https://pixabay.com/th/photos/2489589/ยุคสมัยเปลี่ยนไป แต่สิ่งที่ยังอยู่คือประวัติศาสตร์กระแสหลักที่บันทึกเรื่องราวที่อาจแฝงด้วยอคติซึ่งสร้างชุดความคิดและทัศนคติที่ไม่ดีให้เกิดขึ้นกับคนในสังคมต่อประเทศเพื่อนบ้าน การรู้เท่าทันประวัติศาสตร์จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ในปัจจุบันมีผู้ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างหลากหลายเพื่อนำไปสู่ความเข้าใจอันดีระหว่างประชาคมโลก ประวัติศาสตร์กระแสรองเองก็มีความน่าสนใจที่จะศึกษา แม้ไม่ได้รับการบันทึกหรือบอกเล่าในหน้าหนังสือเรียน แต่นั่นกลับเป็นส่วนหนึ่งความเป็นจริงที่ไม่ได้ถูกเผยแพร่ ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องของความทรงจำที่จบไปและมีเพิ่มขึ้นใหม่เมื่อเวลาผันผ่าน ทุกคนในสังคมทั้งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านต่างผ่านความรับรู้ ความทรงจำที่มีทั้งได้รับและสูญเสีย ความรู้สึกชาตินิยมจึงควรเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นโดยตั้งพื้นฐานอยู่บนความรักและเข้าใจ รู้อภัยและมองเรื่องราวให้หลากหลายมิติ ลด ละ เลิก ทัศนคติเหยียดหยามที่ได้รับรู้มาอย่างผิด ๆ ในแบบเรียนประวัติศาสตร์ในชาติของตนเองข้อความจากหนังสือสุเนตร ชุตินธรานนท์ และคณะ. 2557. ชาตินิยมในแบบเรียนไทย. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : มติชน. ภาพปก : Gerd Altmann จาก Pixabay เข้าถึงจาก https://pixabay.com/th/photos/3460021/