เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธต่อเนื่อง ญี่ปุ่นชี้ วิถีการยิงขีปนาวุธไม่ปกติ
ช่วงเช้าที่ผ่านมาเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธ 2 ลูก ไปตกลงในทะเลนอกเขตเศรษฐกิจจำเพาะของญี่ปุ่น ด้วยวิถีการยิงที่ไม่ปกติ นับเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 วัน หลังเพิ่งยิงขีปนาวุธข้ามน่านฟ้าญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี
การยิงขีปนาวุธครั้งล่าสุดนี้ เป็นการยิงทดสอบขีปนาวุธ ครั้งที่ 6 ในรอบ 12 วัน ล่าสุดผู้นำเกาหลีใต้ให้คำมั่นว่าจะร่วมมือกับสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ขณะที่ญี่ปุ่นออกมาประณามและประท้วงเกาหลีเหนือต่อการกระทำดังกล่าว
ส่วนเกาหลีเหนือประณามสหรัฐฯ ที่เปลี่ยนตำแหน่งเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐฯ ในน่านน้ำนอกคาบสมุทรเกาหลี
---ญี่ปุ่นประณามเกาหลีเหนือ ยิงขีปนาวุธซ้ำอีก---
สถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีทวีความตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเพิ่งจัดประชุมเพื่อรับมือกับการยิงทดสอบขีปนาวุธของเกาหลีเหนือที่มีขึ้นก่อนหน้านี้ เมื่อวันอังคาร (4 ตุลาคม) ที่ผ่านมา และเป็นการยิงขีปนาวุธข้ามน่านฟ้าญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี
ในช่วงเช้าวันนี้ (6 ตุลาคม) เกาหลีเหนือก็กลับมายิงทดสอบขีปนาวุธซ้ำอีก 2 ลูก นับเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 วัน หรือ เป็นครั้งที่ 6 ในรอบ 12 วัน
ยาสุคาสุ ฮามาดะ รัฐมนตรีกลาโหมญี่ปุ่น แถลงว่า เมื่อเวลา 06.00 น. วันนี้ตามเวลาท้องถิ่น ตรงกับเวลา 04.00 น. วันนี้ตามเวลาในไทย เกาหลีเหนือได้ยิงขีปนาวุธแบบทิ้งตัว 2 ลูก จากในดินแดนเกาหลีเหนือ ไปยังฝั่งตะวันออกของเกาหลีเหนือ ไปตกลงในทะเลญี่ปุ่น นอกชายฝั่งทางตะวันออกของเกาหลีเหนือ และนอกเขตเศรษฐกิจจำเพาะทางทะเลของญี่ปุ่น
ขีปนาวุธลูกแรกที่เกาหลีเหนือยิงออกไปในวันนี้ อยู่ที่ความสูงประมาณ 100 กิโลเมตร ยิงไปได้ไกล 350 กิโลเมตร ส่วนลูกที่ 2 อยู่ที่ความสูงประมาณ 50 กิโลเมตร และยิงไปได้ไกล 800 กิโลเมตร
ฮามาดะ ระบุว่า วิถีการยิงของขีปนาวุธครั้งนี้ เป็นวิถีการยิงที่ไม่ปกติ ขณะนี้ญี่ปุ่นยังกำลังวิเคราะห์รายละเอียดการยิงขีปนาวุธครั้งล่าสุดนี้ต่อไป
ฮามาดะแถลงด้วยว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะในปีนี้ เกาหลีเหนือได้เพิ่มการยิงขีปนาวุธซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยวิธีใหม่และรวดเร็ว เฉพาะในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เกาหลีเหนือได้ยิงขีปนาวุธแบบทิ้งตัวหลายลูกอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเพียงสั้น ๆ แต่เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธแล้วถึง 6 ครั้ง รวมถึงครั้งล่าสุดในวันนี้ด้วย
รัฐมนตรีกลาโหมญี่ปุ่น ระบุด้วยว่า การกระทำของเกาหลีเหนือนับเป็นการเพิ่มยั่วยุโดยตรง และเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและเสถียรภาพของญี่ปุ่น ของภูมิภาค และของประชาคมระหว่างประเทศ และเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้โดยสิ้นเชิง โดยญี่ปุ่นได้ประณามและประท้วงเกาหลีเหนืออย่างหนักที่สุด ผ่านทางสถานทูตญี่ปุ่นในกรุงปักกิ่งแล้ว
---เกาหลีใต้ให้คำมั่นร่วมมือสหรัฐฯ-ญี่ปุ่น---
ขณะที่เกาหลีใต้ก็มีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้ทันที วันนี้ (6 ตุลาคม) ประธานาธิบดียุน ซ็อกยอล ของเกาหลีใต้ ให้คำมั่นว่า จะร่วมมือกับสหรัฐฯ และญี่ปุ่น
ผู้นำเกาหลีใต้ระบุว่า ประชาชนอาจรู้สึกกังวลใจ แต่รัฐบาลของเราจะดูแลชีวิตและความปลอดภัยของผู้คนอย่างทั่วถึง ผ่านการเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งระหว่างเกาหลีใต้-สหรัฐฯ และความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างเกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น
การยิงขีปนาวุธล่าสุดในวันนี้ (6 ตุลาคม) ของเกาหลีเหนือ นับเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 วัน หรือนับเป็นครั้งที่ 6 ในรอบ 12 วัน
เมื่อวันอังคาร (4 ตุลาคม) ที่ผ่านมา เกาหลีเหนือเพิ่งยิงทดสอบขีปนาวุธแบบทิ้งตัว 1 ลูก ข้ามผ่านญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี ทำให้เมื่อวานนี้ (5 ตุลาคม) เกาหลีใต้และสหรัฐฯ ยิงขีปนาวุธอย่างน้อย 5 ลูกในการซ้อมรบร่วมที่เกาหลีใต้เพื่อเป็นการตอบโต้
และในวันนี้เกาหลีเหนือก็ยิงทดสอบขีปนาวุธอีกครั้ง หลังการซ้อมรบร่วมระหว่างเกาหลีใต้และสหรัฐฯ และการกลับมาของเรือบรรทุกเครื่องบินที่ขับเคลื่อนด้วยนิวเคลียร์ USS Ronald Reagan ในภูมิภาค ท่ามกลางความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลี
---เกาหลีเหนือประณามสหรัฐฯ ย้ายเรือบรรทุกเครื่องบิน---
สำนักข่าว Reuters รายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีเหนือออกแถลงการณ์ในวันนี้ (6 ตุลาคม) ประณามที่สหรัฐฯ ย้ายเรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐฯ ในน่านน้ำนอกคาบสมุทรเกาหลี โดยระบุว่าเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อเสถียรภาพบนคาบสมุทรเกาหลี
รายงานระบุว่า USS Ronald Reagan และกองเรือรบโจมตีที่ร่วมเดินทาง ถูกจัดวางกำลังใหม่กะทันหัน เพื่อตอบโต้การยิงทดสอบขีปนาวุธน่านฟ้าญี่ปุ่นของเกาหลีเหนือ
นอกจากนี้ เกาหลีเหนือยังประณามสหรัฐฯ ที่ร่วมหารือกับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เกี่ยวกับเกาหลีเหนือ ทั้งที่กองทัพประชาชนเกาหลีแค่มีมาตรการตอบโต้ ต่อการซ้อมรบร่วมระหว่างเกาหลีใต้-สหรัฐฯ เท่านั้น
พร้อมระบุว่า การยิงทดสอบขีปนาวุธเป็นปฏิกิริยาที่มีต่อการเคลื่อนไหวของกองทัพพันธมิตร
————
แปล-เรียบเรียง: สุภาพร เอ็ลเดรจ
ภาพ: Reuters
ข้อมูลอ้างอิง: