Reading หรือข้อสอบอ่าน เป็นส่วนที่ผู้สอบส่วนใหญ่จะพยายามเก็บคะแนนให้ได้สูงที่สุด เพราะเป็นส่วนที่สามารถดึงคะแนน overall ขึ้นได้ง่ายนั่นเองค่ะ ในบทความนี้เราจึงอยากแบ่งปันขั้นตอนการทำข้อสอบจากประสบการณ์ของเราที่ทำให้คะแนนเพิ่มจาก 6.5 ไปเป็น 8.5 ได้จากห้าขั้นตอนนี้ ถ้าทุกคนสนใจแล้วหล่ะก็ ไปเริ่มอ่านกันเลยค่ะ 1. อ่านหัวข้อ และหัวข้อย่อยในขั้นตอนแรกนั้นอาจดูเหมือนเป็นส่วนที่ไม่จำเป็น แต่จริงๆแล้วสามารถช่วยเราได้เยอะจริงๆค่ะ โดยส่วนมากแล้วทั้งสามบทความ จะมีทั้งหัวข้อ และหัวข้อย่อยมาให้ การที่เราอ่านหัวข้อจะทำให้เรารู้ได้ในทันทีว่าเนื้อเรื่องที่เรากำลังจะอ่านต่อไปนี้มีใจความสำคัญเกี่ยวกับอะไร ส่วนหัวข้อย่อยนั้นเป็นตัวที่จำกัดหัวข้อนั้นๆให้แคบลงมาอีกที ยกตัวอย่างเช่น หัวข้อคือ The Black Bear หัวข้อย่อยคือ Black bears are omnivorous, eating different kinds of food each season. หัวข้อทำให้เรารู้ว่า เรื่องนี้เกี่ยวกับหมีดำ แต่หัวข้อย่อยทำให้เรารู้ว่าเรื่องนี้จะพูดเกี่ยวกับอาหารการกินของหมีดำนั่นเอง เพราะฉะนั้นการอ่านหัวข้อ และหัวข้อย่อยเป็นสิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อเจอกับบทความนั่นเองค่ะ 2. ดูประเภทของคำถามหลังจากที่อ่านหัวข้อจบแล้ว เราแนะนำให้ไปอ่านคำถามค่ะ หลายๆคนอาจจะสงสัยว่าทำไมไม่ไปอ่านเนื้อเรื่องก่อน แต่จริงๆแล้วการอ่านคำถามก่อนจะทำให้เราได้รู้ว่าควรที่จะโฟกัสส่วนไหนของเนื้อเรื่องค่ะ และเวลาอ่านคำถาม เราแนะนำว่าให้ไฮไลท์ keyword ของแต่ละคำถามไปด้วยค่ะ โดย keyword ในที่นี้จะใช้เป็นคำที่ไม่มีคำพ้องความหมาย เช่น ปี, ชื่อสถานที่, ชื่อบุคคล เป็นต้น หรืออาจจะใช้เป็นคำที่สามารถแสดงถึงใจความหลักของคำถามก็ได้เช่นกันค่ะ การที่ทำแบบนี้จะทำให้จำได้คร่าวๆว่าควรที่จะโฟกัสในส่วนไหนของบทความนั้นๆค่ะ 3. ต้องเข้าใจ ไม่ใช่เพียงหาคำตอบถัดจากการอ่านคำถาม ก็คือการอ่านเนื้อหาบทความค่ะ อย่างไรก็ตามการอ่านในที่นี้คือต้องอ่านจริงๆ ไม่ใช่เพียงมองหาคำตอบค่ะ ข้อสอบ IELTS ปีใหม่ๆค่อนข้างมีตัวหลอกเยอะเลยทีเดียวค่ะ ถ้าผู้อ่านหวังที่จะได้เต็มแล้วหล่ะก็ ความเข้าใจต่อบทความถือว่าจำเป็นเลยค่ะ เพราะบางครั้งเนื้อหาที่เหมือนจะเป็นคำตอบ อาจจะอยู่ก่อนคำตอบจริงก็เป็นได้ ส่วนตัวแล้วเราจะกำหนดเวลาให้ตัวเองอ่านได้ไม่เกิน 8 นาทีค่ะ ซึ่งการอ่านแบบเข้าใจในทีนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องเข้าใจแบบถ่องแท้ เพราะไม่อย่างนั้นเวลาจะไม่ทัน แนะนำให้เข้าใจแบบคร่าวๆก็พอค่ะ สำหรับใครที่อ่านช้าเป็นปกติ แนะนำให้ลองฝึกอ่านข่าวภาษาอังกฤษ หรือหนังสือวรรณกรรมเด็กที่อ่านได้ง่ายเป็นประจำ จะทำให้เราสามารถอ่านภาษาอังกฤษได้เร็วขึ้นนั่นเองค่ะ มากไปกว่านั้นยังควรฝึกจับใจความสำคัญค่ะ ถ้าใครสอบเป็นแบบกระดาษ ถ้าเป็นไปได้แนะนำให้สรุปแต่ละย่อหน้าแบบสั้นๆไว้ด้านข้าง เพื่อที่เวลาหาคำตอบจะได้ไม่เสียเวลาค่ะ เพราะเราจะรู้ว่าเราต้องไปหาที่ย่อหน้าไหน แต่ส่วนใหญ่วิธีนี้จะทำไม่ค่อยทัน แต่ถ้าทำได้จะดีมากๆค่ะ 4. Highlight เท่าที่จำเป็นระหว่างที่อ่านเนื้อหาของบทความ แนะนำให้ไฮไลท์เนื้อหาระหว่างอ่านไปด้วย อย่างไรก็ตามเราไม่ควรที่จะโฟกัสกับการไฮไลท์มากจนเกินไป ควรเน้นไปที่การอ่าน และอย่างที่เคยกล่าวไปข้างต้นว่าการไฮไลท์นั้นควรที่จะทำต่อเมื่อเป็นคำ หรือประโยคที่แสดงให้เห็นถึงใจความสำคัญของย่อหน้านั้นๆ หรือจะเป็นคำที่ไม่มีคำพ้องความหมาย มากไปกว่านั้นยังควรที่จะไฮไลท์หรือขีดเส้นใต้ในประโยคที่เราคิดว่าจะเป็นคำตอบในคำถามที่เราได้ดูไปก่อนหน้า (ถ้าสามารถจำคำถามได้นะคะ) 5. ตอบคำถาม ตามประเภทของคำถามขั้นตอนสุดท้ายคือการกลับไปอ่านคำถามใหม่อีกครั้ง และหาคำตอบจากบทความด้วยเทคนิค skimming&scanning หรือการอ่านผ่านๆเพื่อหา keyword ที่เราต้องการตามที่ไฮไลท์ไว้ในคำถาม ซึ่งในข้อสอบ IELTS จะมีคำถามอยู่หลายประเภท แต่ละประเภทจะมีแนวทางการตอบ และหาคำตอบที่แตกต่างกันออกไป เราจึงอยากมาแชร์ว่าในข้อสอบส่วนใหญ่ คำตอบของคำถามแต่ละประเภทจะสามารถหาได้อย่างไรบ้าง True/False จะเป็นประเภท facts นั่นหมายความว่าคำตอบที่เราได้จะตรงตัวตามที่เห็นในบทความ ไม่มีการเพิ่มความคิดเห็นลงไปแต่อย่างใด ซึ่งถ้าคำถามประเภทนี้ถูกถามเป็นลำดับแรก คำตอบมักจะอยู่บริเวณส่วนต้นถึงกลางของบทความ แต่ถ้าคำถามประเภทนี้อยู่เป็นลำดับสุดท้าย คำตอบมักจะอยู่กระกระจายทั่วบทความเลยค่ะYes/No จะเป็นประเภท opinions ดังนั้นถ้าอยากหาคำตอบสำหรับคำถามประเภทนี้ให้ตามหาคำที่แสดงให้เห็นว่าประโยคดังต่อไปนี้จะเป็นความคิดเห็นของผู้เขียนค่ะ ซึ่งบางครั้งเราอาจถูกหลอกได้จากการที่ประโยคนั้นอาจจะเป็นประโยคที่ถูกต้องตาม fact แต่อาจจะไปขัดแย้งกับ opinion ของผู้เขียนก็เป็นได้Heading ประเภทนี้มักจะเป็นคำถามประเภทแรกที่จะถูกถามเลยค่ะ แต่อยากแนะนำให้ทำเป็นประเภทสุดท้าย ถ้าผู้อ่านรู้แล้วว่าบทความนี้จะถามเกี่ยวกับ heading แนะนำว่าให้ไฮไลท์ใจความสำคัญ หรือ สรุปแต่ละย่อหน้าเอาไว้ เพราะว่า heading จะอิงตามใจความสำคัญของย่อหน้านั้นๆค่ะ แต่ที่แนะนำให้ทำเป็นอย่างสุดท้ายเพราะว่า ระหว่างที่เราทำคำถามอื่นๆ เราอาจจะเข้าใจแต่ละย่อหน้ามากขึ้นก็เป็นได้Name อันนี้จะเป็นการที่ให้เราจับคู่ชื่อของบุคคลต่างๆที่ถูกกล่าวมาในบทความ กับสิ่งที่พวกเขาเคยพูด หรือออกความคิดเห็นเกี่ยวกับหัวข้อในบทความ ซึ่งสิ่งที่เราต้องทำเลยคือการไฮไลท์ชื่อคนระหว่างการอ่านตามที่เคยกล่าวไว้ในขั้นตอนที่สี่ ให้อ่านประโยคก่อนหน้า ประโยคที่มีชื่อบุคคลนั้น ประโยคหลังจากนั้น เพื่อดูใจความหลักที่เกี่ยวกับบุคคลนั้นค่ะFilling in the blank อันนี้จะเป็นประเภทที่ค่อนข้างง่ายเลยค่ะ เทคนิคคือ ให้ไฮไลท์คำที่คาดว่าจะยังคงเหมือนเดิมในบทความที่ประโยคแรกของคำถามประเภทนี้เลยค่ะ แล้วคำตอบที่เหลือจะไล่ลำดับลงมาเองค่ะ เวลาตอบก็ตอบให้เป๊ะๆกับที่เขียนไว้ในบทความเลยค่ะSentence ending ถือได้ว่าเป็นประเภทที่โหดที่สุดสำหรับเราเลยค่ะ ส่วนตัวเราก็ทำแบบ filling in the blank เลยค่ะ แต่จะหาเจอได้ยากหน่อยMain idea จะมาในรูปแบบของ multiple choice แนะนำให้อ่านประโยคแรก และประโยคสุดท้ายของแต่ละย่อหน้า และให้พยายามมองหาคำที่ชอบถูกใช้ซ้ำ เพราะมันมักจะเป็น keyword ค่ะ และให้สังเกตที่ประโยคหลัง conjunction เช่น but, although, และ therefore เป็นต้น เพราะมันคือการเปลี่ยนแปลงมุมมองของเนื้อหา หรือเป็นการสรุปเนื้อหาอยู่นั่นเองค่ะ อันนี้เป็นวิธีคร่าวๆที่เราใช้ทำ Reading นะคะ ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้อ่านทุกคนก็สามารถลองไปปรับใช้ให้เข้ากับตัวเอง แบบที่ตัวเองถนัด เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดค่ะ สิ่งที่เรากล่าวไปข้างต้นล้วนมาจากประสบการณ์ของเรา ถ้าผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยนะคะ สุดท้ายนี้อยากฝากให้ทุกคนฝึกทำข้อสอบเยอะๆ เพื่อให้สามารถทำได้อย่างคล่องแคล่ว และคุ้นชินกับวิธีการในวันจริงค่ะ เครดิตรูปภาพภาพปก: นักเขียน/canva.comภาพที่ 1: นักเขียน/canva.comภาพที่ 2: Anna Shvets/pexelsภาพที่ 3: Tima Miroshnichenko/pexelsภาพที่ 4: EKATERINA BOLOVTSOVA/pexelsภาพที่ 5: นักเขียน/canva.comเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !