สหรัฐฯ จะควบคุมอัลกอริทึมกิจการติ๊กต็อกในประเทศ พร้อมนั่งบอร์ดบริหาร 6 ใน 7 เก้าอี้

ทำเนียบขาวประกาศว่า ข้อตกลงใหม่ที่สหรัฐฯ เจรจากับจีนจะทำให้บริษัทสหรัฐฯ เป็นผู้ควบคุมอัลกอริทึมของติ๊กต็อก และให้ชาวอเมริกันครอง 6 จาก 7 เก้าอี้ในบอร์ดบริหารของกิจการติ๊กต็อกในสหรัฐฯ

แคโรไลน์ ลีวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว กล่าวว่าข้อตกลงนี้อาจลงนามได้ “ภายในไม่กี่วันข้างหน้า” แม้จีนยังไม่ออกความเห็นอย่างเป็นทางการ

สหรัฐฯ ต้องการตัดติ๊กต็อกออกจากบริษัทแม่อย่าง ByteDance ของจีน ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง โดยก่อนหน้านี้รัฐบาลสหรัฐฯ กำหนดเส้นตายให้ไบต์แดนซ์ต้องขายกิจการติ๊กต็อกในสหรัฐฯ ไม่เช่นนั้นแอปพลิเคชันจะถูกแบน แต่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ก็เลื่อนกำหนดหลายครั้ง ล่าสุดขยายออกไปจนถึงเดือนธันวาคม

ภายใต้ข้อตกลงนี้ ข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานติ๊กต็อกในสหรัฐฯ จะอยู่ภายใต้การกำกับของ Oracle ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีซึ่งมี แลร์รี เอลลิสัน มหาเศรษฐีและพันธมิตรทางการเมืองของทรัมป์ เป็นประธานกรรมการ

ดีลนี้ยังเชื่อมโยงกับการขยายอิทธิพลของตระกูลเอลลิสัน เนื่องจาก เดวิด เอลลิสัน ลูกชายเพิ่งเข้าซื้อกิจการสื่อยักษ์ใหญ่อย่าง Paramount ซึ่งเป็นเจ้าของ CBS News ทำให้ครอบครัวนี้ทรงอิทธิพลมากขึ้นทั้งในแวดวงเทคโนโลยีและสื่อมวลชน

ทรัมป์ระบุเมื่อวันที่ 19 กันยายนว่า เขาและประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน “เห็นชอบ” ข้อตกลงในระหว่างการโทรศัพท์ แม้ฝั่งจีนจะยังไม่ได้ออกมายืนยัน โดยกระทรวงพาณิชย์จีนออกแถลงการณ์เพียงว่า รัฐบาลเคารพการตัดสินใจของภาคธุรกิจ และพร้อมสนับสนุนให้มีการเจรจาตามกฎตลาดและกฎหมายของจีน

จุดขัดแย้งสำคัญคือเรื่อง “อัลกอริทึม” ว่าใครจะเป็นเจ้าของและสามารถใช้ระบบเดิมต่อไปได้หรือไม่ ขณะที่ทรัมป์เลี่ยงตอบคำถามนักข่าวว่าจะต้องสร้างอัลกอริทึมใหม่หรือใช้ของเดิม

แม้ในสมัยแรกทรัมป์เคยผลักดันการแบนติ๊กต็อกอย่างแข็งกร้าว แต่ต่อมาเขาเปลี่ยนจุดยืน และหันมาใช้แพลตฟอร์มนี้เป็นเครื่องมือหาเสียงกับคนรุ่นใหม่ จนมีส่วนสำคัญต่อชัยชนะในการเลือกตั้งปี 2024

ก่อนหน้านี้ศาลสูงสหรัฐฯ มีคำตัดสินรับรองกฎหมายปี 2024 ที่ห้ามใช้ติ๊กต็อกในสหรัฐฯ หากไบต์แดนซ์ไม่ยอมขายกิจการ แต่แอปพลเคชันถูกปิดไปเพียงไม่นาน ก่อนเส้นตายจะถูกเลื่อนออกไป

กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ย้ำว่า การที่ติ๊กต็อกมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลของชาวอเมริกัน เป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงในระดับ “ลึกและกว้างขวางอย่างยิ่ง”