ความรุนแรงพุ่งสูงในวันชาติสหรัฐฯยิงกัน 400 ครั้ง เสียชีวิต 150 คน
วันนี้ ( 6 ก.ค. 64 )สำนักข่าว CNN รายงานว่า เมื่อเปรียบเทียบกับยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในช่วงเวลาเดียวกันอยู่ที่ 123 คน นั่นหมายความว่า คนอเมริกันเสียชีวิตจากความรุนแรงจากปืนทั่วประเทศ ในสุดสัปดาห์วันชาติที่ผ่านมา มากกว่าไวรัสมรณะเสียอีก
ไม่เพียงเท่านั้น ยังเกิดเหตุกราดยิงหลายครั้งในช่วง 72 ชั่วโมงตั้งแต่วันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ที่ผ่านมาด้วย อาทิ
-เหตุกราดยิงใกล้โรงล้างรถในรัฐเท็กซัส ทำให้มีผู้บาดเจ็บ 8 คน
-เหตุกราดยิงในรัฐเวอร์จิเนีย ทำเด็กบาดเจ็บสาหัส 4 คน รวมถึงเด็ก 6 ขวบด้วย โดยมือปืนเป็นเด็กชายวัย 15 ปี
-เหตุกราดยิงกลางงานปาร์ตี้ในเมืองโทลีโด รัฐโอไฮโอ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บอีก 11 คน
-เหตุดราดยิงในเมืองซินซินนาติ รัฐโอไฮโอ ทำให้วัยรุ่นชายสองคนเสียชีวิต บาดเจ็บอีก 3 คน
-เหตุกราดยิง 2 ครั้งในเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส ทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 คน นอกจากนี้ ยังเกิดเหตุยิงสังหารชายวัย 61 ปี เสียชีวิตด้วยในวันเดียวกัน
ตอนนี้ มีรายงานว่าเมืองขนาดใหญ่ทั่วสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับอาชญากรรมรุนแรงที่เพิ่มขึ้น
โดยที่นครนิวยอร์ก ความรุนแรงจากอาวุธปืนเพิ่มขึ้นในระดับที่ไม่เกิดขึ้นมานานหลายปีแล้ว, ช่วงวันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ (4 กรกฎาคม) พบว่าเกิดเหตุยิงกัน 21 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 26 คน แต่ยังถือเป็นระดับที่ต่ำกว่าช่วงเวลาดีกันเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งมีการยิงกัน 25 ครั้ง และเสียชีวิต 30 คน
แต่ในวันที่ 4 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันชาติสหรัฐฯ นิวยอร์กเกิดการยิงกัน 12 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 13 คน ถือว่าเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ที่เกิดการยิงกัน 8 ครั้ง และผู้เสียชีวิต 8 คน
และหากนับสถิติตลอดปี อัตราเกิดความรุนแรงจากอาวุธปืนในนิวยอร์กเพิ่มขึ้นเกือบ 40% เทียบกับช่วงเวลาครึ่งปีแรกของปี 2020 โดยเกิดเหตุอาชญากรรมการใช้ปืนถึง 767 ครั้ง และผู้เสียชีวิต 885 คน
ส่วนที่นครชิคาโก ผู้บัญชาการตำรวจยอมรับว่า ช่วงสุดสัปดาห์วันชาติที่ผ่านมา “เป็นสุดสัปดาห์ที่ท้าทายมากที่สุดในปีนี้” สำหรับตำรวจ เพราะมีคนถูกยิง 83 คน เสียชีวิต 14 คน ในจำนวนนี้ มีเด็ก 5 ขวบ และ 6 ขวบ ถูกยิงบาดเจ็บด้วย
ทั้งนี้ นครชิคาโกมีอัตราเกิดเหตุฆาตกรรมในครึ่งปีแรกต่ำกว่าปีที่แล้ว 2% แต่ตัวเลขเหยื่อเพิ่มขึ้น 14%
เหตุผลที่อัตราความรุนแรงลดลง เป็นผลจากตัวเลขในเดือนมิถุนายนที่ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ คือ อาชญากรรมลดลง 20%, เหตุยิงกันลดลง 13% เหลือ 363 ครั้ง (ปีก่อน 416 ครั้ง), และผู้เสียชีวิตลดลง 8% เหลือ 499 (ปีก่อน 540 คน)