อิหร่านกร้าวล้างแค้น! เหตุนักวิทย์มือเอกด้านนิวเคลียร์ถูกลอบสังหาร ซัดอิสราเอลมีเอี่ยว

เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า อิหร่านประกาศกร้าวจะแก้แค้นให้กับนายมอห์เซน ฟาครีซาเดห์ นักวิทยาศาสตร์ด้านนิวเคลียร์ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดของอิหร่าน วัย 59 ปี ที่ถูกลอบโจมตีสังหารจนเสียชีวิตในเขตดามาวานด์ นอกกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน เมื่อวันศุกร์(27 พ.ย.)ที่ผ่านมา ซึ่งอิหร่านกล่าวหาอิสราเอลว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง

กระทรวงกลาโหมอิหร่านเปิดเผยว่า นายฟาครีซาเดห์ ที่มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าองค์การวิจัยและนวัตกรรมของอิหร่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัสหลังจากถูกกลุ่มคนร้ายยิงถล่มโจมตีรถของนายฟาครีซาเดห์และเกิดการยิงปะทะกับบอดีการ์ด ทำให้นายฟาครีซาเดห์ได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตลงในเวลาต่อมาหลังแพทย์ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้

นายโมฮัมหมัด จาวัด ซารีฟ รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน ออกมากล่าวอ้างว่ามีสิ่งบ่งชี้สำคัญว่าอิสราเอลมีบทบาทเกี่ยวข้องกับเหตุลอบสังหารครั้งนี้

“วันนี้ผู้ก่อการร้ายได้ฆ่านักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของอิหร่าน ความขี้ขลาดนี้ซึ่งมีสิ่งบ่งชี้สำคัญถึงบทบาทของอิสราเอล แสดงให้เห็นถึงความสิ้นหวังของผู้ก่อการที่กระหายสงคราม” รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่านกล่าว พร้อมเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศประณามการกระทำของผู้ก่อการที่เป็นรัฐ

ขณะที่หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สอ้างเจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐและหน่วยข่าวกรอง 2 รายยืนยันว่า อิสราเอลอยู่เบื้องหลังเหตุลอบสังหารครั้งนี้ แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ

ด้านนายอามีร์ ฮาตามี รัฐมนตรีกลาโหมอิหร่าน กล่าวว่า นายฟาครีซาเดห์มีบทบาทสำคัญในนวัตกรรมด้านกลาโหม ซึ่งรวมถึงการป้องกันด้านนิวเคลียร์ นายฮาตายังโยงการลอบสังหารนายฟาครีซาเดห์เข้ากับเหตุการณ์ลอบสังหารนายพลกาเซ็ม โซไลมานี ผู้นำกองกำลังคุดส์ แห่งกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่าน ที่ถูกกองกำลังสหรัฐปฏิบัติการลอบสังหารโจมตีทางอากาศใกล้กับสนามบินในกรุงแบกแดดของอิรักเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาด้วย

เหตุการณ์ลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์ด้านนิวเคลียร์คนสำคัญของอิหร่านครั้งนี้ ส่งผลคุกคามให้บรรยากาศความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่าน กับ สหรัฐอเมริกาและ อิสราเอลที่เป็นชาติพันธมิตรสหรัฐ ตึงเครียดมากยิ่งขึ้น และเสี่ยงที่จะขยายวงความขัดแย้งในตะวันออกกลางไปมากขึ้น

นายจอห์น เบรนแนน อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ(ซีไอเอ)ของสหรัฐ เตือนว่าเหตุลอบสังหารครั้งนี้เสี่ยงที่จะจุดไฟผลาญทำลายตะวันออกกลางและเสี่ยงจะทำให้เกิดการตอบโต้ร้ายแรงและจุดความขัดแย้งรอบใหม่ในภูมิภาค