4,000 สัปดาห์ ถ้าคิดเป็นวันก็เท่ากับ 1,460,000 วัน หรือเท่ากับ 77 ปีโดยประมาณ นี่คือค่าเฉลี่ยอายุขัยของมนุษย์ ซึ่งไม่ได้ยาวนานอะไรนักเลย แต่กิจวัตรของคนเรามักพัวพันอยู่กับการหาเงินเลี้ยงชีพ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น เกิดมาแล้วก็ตาย ไม่ได้ทำให้จิตใจของเรารู้สึกว่าชีวิตมันควรจะมีอะไรมากไปกว่านี้ได้เลย ทั้งที่จิตใจของเราควรได้รับการเติมเต็มมากกว่านี้ ผลงานการเขียนของ Oliver Burkeman ที่จะมาสาธยายเรื่องนี้อย่างละเอียด โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็นสองส่วน 1.เลือกที่จะเลือก 2.เหนือการควบคุมโดยได้ผลงานการแปลโดย วาดฝัน คุณาวงศ์ ความรู้ความประทับใจในมุมมองของครีเอเตอร์ได้เรียนรู้ว่าอายุขัยของคนเราสั้นนัก หากเปรียบเทียบกับคนที่อายุมากที่สุดในโลก 122 ปี ก็คิดเป็น 6,400 สัปดาห์เท่านั้นเอง เรายังถูกกดดันด้วยคำแนะนำการใช้ชีวิตให้ทำงานเต็มประสิทธิภาพ แม้จะรีดเค้นประโยชน์สูงสุดจากเวลาที่มีได้ แต่ทว่าความย้อนแย้งคือ เรามักจะอยากเร่งให้ได้มากกว่านี้ เราจึงรู้สึกยุ่งมากขึ้น ว้าวุ่นใจมากขึ้น และว่างเปล่ามากขึ้น นอกจากนี้ เราก็ไม่ได้ใช้เวลาที่มีอย่างจำกัดไปกับผู้คนหรือสิ่งที่เราใส่ใจอย่างแท้จริง ได้เรียนรู้ว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่เวลามันจำกัด มีไม่เพียงพอ แต่ปัญหาอยู่ที่ความรู้สึกกดดันว่าต้องทำงานและใช้ชีวิตให้มีประสิทธิภาพภายใต้เวลาที่จำกัด ต่างจากผู้คนสมัยก่อนที่ไม่ได้รู้สึกกดดันจากแนวคิดนี้ เขาทำงานแบบทำไปเรื่อยๆจนกว่าจะเสร็จ เมื่อไม่ต้องคำนึงถึงเวลามาก อยู่กับปัจจุบันได้ดีกว่า ก็ไม่ต้องคิดมากว่า...ต้องจัดการกับตารางงานในอนาคตอย่างไรดี ได้เรียนรู้ว่าเราปฏิบัติต่อเวลาในฐานะทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด เราใช้ชีวิตแบบซื้อขายเวลา โดยเวลานั้นก็แลกมาเป็นตัวเงิน ถึงจะเรียกได้ว่าใช้เวลาได้คุ้มค่า ซึ่งก็เป็นสิ่งที่สังคมอยากให้เราทำ เราเองก็หวังว่าการได้เงินมามากพอจะสามารถซื้ออิสรภาพให้กับตัวเองได้ ทว่าความย้อนแย้งคือยิ่งพยายามจัดการเวลา ชีวิตมักยิ่งว่างเปล่าและน่าท้อแท้ หากเราเข้าใจเรื่องไม่จีรังของชีวิต เราจะพบว่าสิ่งที่เรากำลังดิ้นรนอยู่นี้ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ เงิน เป็นเพียงเครื่องมือที่เอื้อให้พาเราไปสู่สิ่งปรารถนาเท่านั้น ได้เรียนรู้ว่าคนที่ประสบความสำเร็จมีอาชีพการงานดี รายได้สูง สิ่งที่ได้มาด้วยคือความกดดันที่ต้องทำงานไม่มีที่สิ้นสุด เรายังคงมีความเครียดที่ทำลายสุขภาพ เพื่อรักษารายได้และสถานะทางสังคมที่มีอยู่ การทำอะไรก็ตามให้มีประสิทธิภาพอยู่ตลอดผลักดันให้เราทำอะไรมากเกินกว่าความสามารถที่ทำได้ แต่นั่นไม่สมเหตุสมผลเลย เราทำในสิ่งที่เราทำได้จะเป็นการดีกว่า ได้เรียนรู้ว่ากับดักของการมีประสิทธิภาพ คือ การทำให้ตัวเองมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะด้วยการนำเทคนิคการเพิ่มผลิตภาพมาใช้ หรือการเคี่ยวเข็ญตัวเองมากขึ้น ไม่มีทางเลยที่จะมีเวลาเพียงพอ ยิ่งทำงานเสร็จมาก ก็ยิ่งต้องการให้งานเสร็จมากขึ้นไปอีก เทคโนโลยีก็ช่วยให้การสื่อสารสะดวกขึ้น ทำงานได้เร็วขึ้น ประหยัดเวลามากขึ้น แต่กลายเป็นว่าที่เราประหยัดเวลาไปนั้นเอามาใช้ทำงานเพิ่มขึ้น วิธีที่ดีกว่าคือปล่อยวางภาพฝันที่ว่าเราทำทุกอย่างให้สำเร็จได้และมุ่งมั่นทำสิ่งที่มีความหมายจริงๆแค่ไม่กี่อย่างให้ดีที่สุด ได้เรียนรู้ว่าเรานี่แหละคือเวลาอันจำกัด ตัวเราคือส่วนหนึ่งของเวลาอันจำกัดที่เคลื่อนไปข้างหน้าจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต เปรียบกับประโยคที่ว่า “เพียงอยู่-มุ่งหน้าสู่-ความตาย” หากตระหนักถึงชีวิตที่ไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไหร่ เราก็อาจเลือกใช้ชีวิตที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กับคนอื่นๆในฐานะมนุษย์อย่างเต็มตัว (ความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างและคนในครอบครัวคือความสุขที่สำคัญที่สุด เป็นรากฐานความสำเร็จในเรื่องอื่นๆ) ได้เรียนรู้ว่า 4,000 สัปดาห์ฟังดูเหมือนจะนาน แต่ไม่มีอะไรการันตีได้ว่าเราจะมีเวลา 4,000 สัปดาห์เหมือนกับคนอื่นๆ เมื่อตัดสินใจเลือกสิ่งหนึ่งแล้วผิดหวังกับมัน แทนที่จะเสียดายเวลาที่ใช้ไป ให้ลองเปลี่ยนเป็นมุมมองที่ว่า ดีแค่ไหนแล้วที่เราได้เลือกดีกว่าเราไม่มีโอกาสเลือกตั้งแต่แรก ได้เรียนรู้ว่าศิลปะแห่งการละทิ้งอย่างสร้างสรรค์ เพื่อบริหารเวลาให้คุ้มค่าประกอบด้วย...1.จ่ายให้ตัวเองก่อน คือกันเวลาในแต่ละวันให้สิ่งที่เราให้ความสำคัญจริงๆ2.จำกัดจำนวนชิ้นงานที่ทำในแต่ละวัน3.อดกลั้นกับสิ่งยั่วยวนระดับปานกลาง สิ่งบันเทิงล่อใจมันไม่ใช่แก่นของชีวิต ได้เรียนรู้ว่าภารกิจใดก็ตามที่เราวางแผนไว้มักใช้เวลาทำนานกว่าที่เราคาดการณ์ ยิ่งเราเผื่อเวลาให้กับแผนการนั้น เราก็มักจะยิ่งใช้เวลานานมากขึ้นไปอีก ความพยายามของเราที่จะวางแผนให้ดีก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะเราโดนโลกแห่งความเป็นจริงสู้กลับ การทุ่มเทจิตใจให้กับการวางแผนแทนที่จะช่วยเราป้องกันจากหายนะ มันอาจทำให้เราวิตกกังวลมากขึ้นอีก เพราะเราอยากมั่นใจว่าความพยายามจะนำมาไปสู่ความสำเร็จตามมุมมองของเราในปัจจุบัน ได้เรียนรู้ว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยให้เราทำสิ่งต่างๆเสร็จเร็วขึ้น แทนที่จะลดความใจร้อน กลับทำให้เราบีบคั้นต้องทำให้เร็วกว่านี้ เร็วขึ้นไปอีก หากเราเสพติดความเร็วแบบนี้ก็ต้องยอมรับว่าสิ่งต่างๆต้องใช้เวลาตามที่มันจำเป็นต้องใช้ วอเร็น บัฟเฟตต์ นักลงทุนชื่อดังเคยกล่าวว่า คุณไม่สามารถมีลูกภายใน 1 เดือนได้โดยใช้ผู้ชาย 9 คน ได้เรียนรู้ว่าเมื่อเราทำอะไรบางอย่างสำเร็จไปถึงจุดที่ต้องการได้แล้ว แทนที่เราจะได้ผ่อนคลาย แต่กลับเฝ้าฝันถึงอนาคตที่อยู่ไกลออกไปอีก ดังนั้น อย่าอยู่กับอนาคตจนลืมปัจจุบันที่สำคัญที่สุด เราควรปฏิบัติต่อทุกๆประสบการณ์ ณ ตรงหน้าด้วยความเคารพราวกับว่ามันเป็นครั้งสุดท้าย ได้เรียนรู้ว่า 3 หลักการสำหรับการฝึกความอดทน ประกอบด้วย1.ทำตัวให้ชินกับการเจอปัญหา เราเร่งกำจัดทุกปัญหาที่เกิดในชีวิตไม่ได้ ต้องให้เวลากับการแก้แต่ละปัญหาตามความเป็นจริง2.ทำและพักอย่างเหมาะสม เพราะบางชิ้นงานใช้เวลานานกว่าจะสำเร็จ การเร่งทำให้เสร็จอาจทำให้งานออกมาไม่ดี3.ผลงานที่ยิ่งใหญ่มาจากพื้นฐานที่อดทนเรียนรู้ ภายใต้กรอบเกณฑ์ที่มีอยู่ ได้เรียนรู้ว่าเวลา แม้จะเป็นสิ่งที่มีค่าและมีจำกัด แต่เวลาที่เรานำไปใช้ประสานสัมพันธ์กับคนอื่นได้ดี ใช้ชีวิตกับคนที่เรารัก เราจะรู้สึกว่าชีวิตจะมีความหมายมากขึ้น ยอมรับว่าหนังสือเล่มนี้อ่านค่อนข้างยากพอสมควร แต่ก็สะท้อนให้เห็นชีวิตจริงของคนเราว่ามักถูกกระตุ้นให้ทำงานหนัก ทำงานแล้วต้องได้ผลผลิตมากขึ้น (Productive มากขึ้น) ทั้งที่เราทำไม่ได้ครบทุกอย่าง เราถูกสั่งให้ทำสิ่งที่คนอื่นต้องการ เจ้านายต้องการ สังคมต้องการ แต่ไม่ได้ทำสิ่งที่มีความหมายกับเราในตอนนี้เลย พอคิดดูแล้ว นี่มันเป็นเวลาที่สั้นนักและถือเป็นปัญหาหลักในการดำรงอยู่ของมนุษย์อย่างนักปราชญ์เคยปรารภก็ว่าได้ เครดิตภาพภาพปก โดย rawpixel.com จาก freepik.comภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียนภาพที่ 3 โดย nuraghies จาก freepik.comภาพที่ 4 โดย Drazen Zigic จาก freepik.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจรีวิวหนังสือ PRODUCTIVITY คิดแบบเยอรมัน ลงมือทำแบบญี่ปุ่นรีวิวหนังสือ ความสุขใกล้กว่าที่คิดรีวิวหนังสือ MANIFEST 7 ขั้นตอนสู่ทุกสิ่งที่ปรารถนารีวิวหนังสือ How to Make Work not Suck เมื่อเส้นทางการทำงานโรยไปด้วยเปลือกทุเรียนรีวิวหนังสือ เรื่องแบบนี้ คนเก่งๆเขารับมือกันแบบไหน เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !