ครั้งหนึ่งเราจำความประทับใจในร้านหนังสือได้เป็นอย่างดี แม้เวลาจะผ่านมานานหลายปีแล้ว ในขณะที่กำลังเลือกหนังสืออย่างเพลิดเพลิน เราก็ได้ยินเสียงใส ๆของเด็กผู้หญิง กำลังคุยกับคุณแม่ด้วยสำเสียงภาษาอังกฤษ คือแบบว่าเสียงในฟิลม์มาก ๆอารมณ์เหมือนที่เราดูการ์ตูนฝรั่งประมาณนั้นเลย โอ้! แม่เจ้า เราคิดในใจคุณพ่อคงเป็นต่างชาติแน่ๆ แต่เราคิดผิดจ้า คุณพ่อก็เป็นคนไทยและกำลังคุยกับคุณแม่หนูน้อยด้วยภาษาไทย เสียงที่คุณแม่ตอบกลับลูกสาวตัวน้อยก็เป็นภาษาอังกฤษ สำเนียงไทยจ้า “ แอบคิดก็พูดเหมือนเรานิหว่า” ยิ่งทำให้เราอยากรู้อยากเห็นเจ้าของเสียงในฟิลม์แล้วซิที่นี้ เราก็เลยวนเวียนอยู่ตรงนั้นนานเป็นพิเศษ ในที่สุดก็ได้เห็นหน้าตาหนูน้อยตัวจิ๋ว ดูจากสายตาคร่าว ๆ คิดว่าหนูน้อยน่าจะ อายุราว 6-7 ขวบ แต่ทำไมหนูพูดได้ เป็นธรรมชาติได้ขนาดนี้ค่ะ หนูไม่มีเคอะเขินเลย หนูไม่ต้องคิด แล้วหน้าตาหนูก็เหมือนเด็กไทยทั่วไป ยิ่งทำให้เรารู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ยังแอบคิดในใจถ้าสักวันหนึ่งเรามีลูก ก็ฝันอยากให้ลูกเราพูดภาษาอังกฤษให้ได้แบบนี้บ้างจัง เพราะเรารู้แล้วว่าการสอนและเรียนแบบเดิม ๆ ที่เราและเด็กไทยร่ำเรียนมา นานแสนนาน จนจบมหาลัยก็ยังไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ภาพโดยผู้เขียนเอง วันเวลาล่วงเลยผ่านไปถึงวันที่เราสร้างครอบครัว และวางแผนจะมีลูก และเราก็เริ่มหาข้อมูลและซื้อหนังสือมาอ่าน ว่าอยากเลี้ยงลูกแบบไหน และถือเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนลูกเข้าโรงเรียน ว่าจะให้ลูกเรียนแนวไหน ให้เหมาะกับครอบครัวและพื้นฐานด้านกำลังทรัพย์เป็นปัจจัยสำคัญ เราเลยต้องทำการบ้านเยอะหาข้อมูล เพื่ออยากให้ลูกโตขึ้นมาเป็นเด็กสองภาษา แต่โรงเรียนเรียนอินเตอร์ก็ไม่ใช่คำตอบเพราะค่าใช้จ่ายสูงเกินไป ไม่เหมาะสมกับฐานะอย่าเรา ๆ 555 .... และในที่สุดจากอ่านและทำการบ้านอย่างหนัก ทำให้เราก็ไปเจอหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง เป็นฮาวทูที่เราอ่านแล้วชอบมาก อ่านง่ายและสนุก แนะนำวิธีการก็ไม่ได้ซับซ้อน เราอ่านเล่มนี้อยู่หลายรอบ เพื่อที่จะให้เข้าใจและตกผลึก และที่สำคัญตัวผู้เขียนได้พิสูจน์และทดลองด้วยตัวผู้เขียนเองกับลูกสาว แล้วก็สามารถทำให้ลูกสาว ของผู้เขียนสื่อสารภาษาอังกฤษได้ “เราก็ต้องทำได้” ภาพโดยผู้เขียนเอง หลังจากอ่านหนังสือ เราก็นำหลักมาประยุกต์และปรับให้เหมาะครอบครัวเรา อาจไม่ได้ทำทั้งหมดครบถ้วน แต่อย่างน้อย ๆก็มีหลักและแนวในการเลี้ยงดูและสอนลูก สิ่งแรกที่เราทำได้คือให้ลูกฝึกเรื่องการฟัง เราเปิดนิทานภาษาอังกฤษจากเจ้าของภาษาให้เขาฟังทุกวัน ให้ฟังเพลงภาษาอังกฤษ พอเริ่มหัดพูดเราก็ใช้คำศัพท์ต่าง ๆเป็นภาษาอังกฤษ โดนคุณพ่อจะคุยกับลูกเป็นภาษาอังกฤษ แม่ก็มีพูดบ้างแต่ไม่ได้พูดคล่องเท่าไหร่ ถือว่าแม่ได้เรียนรู้ไปพร้อมกับลูกก็สนุกดี บ้านเราใช้สองภาษากันในบ้านเกือบทุกทำกิจกรรม แต่ที่ทำหลักๆ คือเรื่องกิจวัตรประจำวัน พูดและทำซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ อย่างเช่นประโยคง่าย ๆ อย่างเช่นเข้านอน go to bed แปรงฟัน brush your teethอาบน้ำ take a showerแต่งตัว get dressทานข้าวเที่ยง have lunchหรือการเล่นกับลูก ใช้สิ่งต่าง ๆรอบตัวที่ใช้กันทุกวัน ลูกได้จับได้เห็น แล้วก็มีเสริมด้วยรูปภาพ ภาษาอังกฤษ แยกเป็นหมวดหมู่ สัญลักษณ์และรูปทรงรูปต่าง ๆอย่างวงกลม สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม รูปเล็ก รูปใหญ่ ส่วนการ์ตูนเราให้ลูกดูและฟังจากเจ้าของภาษาอย่าเช่นเรื่อง Peppapig , Barney เพราะเด็กแรกเกิดถึงสี่ขวบถือว่าเป็นวัยที่มหัศจรรย์มากลูกสามารถรับรู้และสมองพัฒนาด้านภาษาได้ดีภาพโดยผู้เขียนเองทริคเล็ก ๆที่คุณแม่ ใช้ในการสร้างแรงจูงใจลูกสนุกกับการ พูดภาษาอังกฤษ1. ถ้าคุณพ่อหรือคุณแม่คุยกับหนูเป็นภาษาอังกฤษ หนูจะต้องตอบเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น ห้ามตอบภาษาไทย ถ้าภารกิจสำเร็จ หนูมีสิทธิ์เลือกขนมที่หนูอยากทานได้หนึ่งอย่าง 2. ถ้าหนูอ่านนิทานภาษาอังกฤษให้คุณพ่อหรือคุณแม่ฟัง หนูจะได้ดาวสะสม 1 ดวง ถ้าครบ 10 ดวง หนูจะได้ราวงวัล 100 บาท จนทุกวันนี้ลูกสาววัยสิบขวบสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้คล่องเหมือนเจ้าของภาษาและได้รับคำชม และมีหลายคนสอบถามลูกสาวว่าหนูเรียนที่ไหนค่ะ ทำไมพูดได้คล่อง พอยิ่งรู้ลูกว่าไม่ได้เรียนอินเตอร์ ก็สร้างความประหลาดใจ ใก้กับคนที่ถาม และก็มาถามคุณแม่สอนน้องยังไง “ทำให้เราขอบคุณความทรงจำและความประทับใจในร้านหนังสือในครั้งนั้นมาก” ที่เป็นแรงบันดาลใจผลักดัน ทำให้เราสามารถปั้นลูกเราเองให้เป็นเด็กสองภาษา เวลาที่ทำไปมันคุ้มค่ากับผลลัพธ์มาก แต่คุณพ่อแม่ก็ต้องอดทน กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน เราใช้คำนี้เตือนใจตัวเองเสมอเวลาบอกและสอนลูก “ท้อได้แต่ห้ามหยุด” เพราะเรารู้ว่าภาษาอังกฤษมันจะเปิดโอกาสในหลาย ๆด้าน อาจทำให้ลูกได้เห็นโลกอีกมุม ที่กว้างขึ้น เมื่อเรารู้ว่าแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์มันงดงามและคุ้มค่ากับการอดทน แล้วทำไมเราจะไม่ลงมือทำ