สิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ย่อมสื่อสารกันได้ แต่มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่มีทักษะการเล่าเรื่อง ในหนังสือ Sapiens: A Brief History of Humankind ของ ยูวาล โนอา ฮารารี่ พูดไว้ตอนหนึ่งอย่างน่าสนใจว่า มนุษย์และสัตว์ต่างกันตรงที่ มนุษย์มีจินตนาการ สามารถเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างน่าเชื่อถือ เพราะถ้าหากลิงบอกเพื่อนลิงด้วยกันว่าเห็นเสือ ลิงที่ได้ยินก็จะรู้แค่ว่า เห็นเสือ แต่ถ้าเป็นมนุษย์ มนุษย์ก็จะเล่าเรื่องเสือได้แสนน่ากลัว ตื่นเต้น ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้ว เขาอาจไม่ได้เห็นเสือเข้าจริง ๆ จินตนาการเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้มนุษย์สามารถดำรงเผ่าพันธ์ุและเรียกว่าสร้างความเจริญก้าวหน้าจนปัจจุบัน เพราะการถ่ายทอดจินตนากานี้ออกมา จากคนหนึ่ง สู่อีกคนหนึ่งได้ การเล่าเรื่องเป็นเครื่องมือที่ส่งต่อจินตนาการ บอกเล่าความคิด ความรู้สึก อุดมการณ์ จิตวิญญาณ ให้แต่ละคนก้าวเดินไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งการเล่าเรื่องนั้นเป็นทักษะ เมื่อเป็นทักษะ ย่อมฝึกฝนกันได้ครับ หลักการสำคัญและง่าย ในการจดจำทุกการนำเสนอคือ ต้น-กลาง-จบต้น คือเกริ่นนำ ความรู้ความคิด โปรยหัว ให้มีความตื่นต้น น่าสนใจ ชวนติดตาม อาจเปิดเรื่องด้วยคำถาม “รู้ไหมครับว่าเวลาเราตื่นเราจึงต้องลืมตา….?” น้ออออออ ผมอำหนะ แต่ว่าจริง ๆ ก็ประมาณนี้แหละ การขึ้นต้นคือการดึงดูดผู้ค้นให้อยู่กับเรื่องที่เราจะเล่า อาจด้วยคำถาม คำคม ความคิดสะกิดใจ ชวนให้เขาไปต่อกับเรื่อง ในวรรคต่อไปของเรา กลาง หมายถึง กลางเรื่อง เนื้อหา บทบรรยาย หากเป็นหนัง Series ก็คงเป็นช่วยที่ตัวละครพูดกัน ชักชวน หว่านล้อม ชักแม่น้ำทั้ง 5 สาย 6 สาย มากองรวมกัน ตัดต่อขยายความ เป็นช่วงเนื้อ อาจเป็นการนำเสนอแบบ ลำดับขึ้น โดยเรียงเป็นประเด็น 3 - 5 ประเด็น ย่อย ๆ ในส่วนของเนื้อหา หรืออาจเป็นเนื้อเรื่องที่บรรยายเรียบง่าย และหักมุมเพื่อชวนติดตามในวรรคต่อไป จบ ถึงตรงนี้ ก็คือการ หยุด จบ เลิก เรื่องที่จะเล่า หากเป็นละคร ก็คือช่วงสุดท้าย ทุกอย่างต้องถูกเฉลยออกมาก ทำให้ทุกอย่างกระจ่ายชัดเจน หากเป็นความรู้ ก็จะสรุป หากเป็นนิทาน ก็จะตบด้วยคำว่า นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ซึ่ง ขั้นของการจบ จะต้องเน้นให้ประทับใจ ให้ตราตริง ให้คลี่คลาย หรือ หนังสมัยนี้ อาจชวนให้ค้างความรู้สึก แขวนมันไว้อย่างนั้นก็มีเยอะ แบบ เฮ้ย!!!! จบแบบนี้ได้ไง ทำนองนั้น นอกจากภาษาที่รับรู้ผ่านหู ภาษาที่รับรู้ผ่านตาก็สำคัญ ภาษากาย หรือ ลีลาท่าทาง ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่นักเล่าเรื่องต้องตระหนักให้ดี เพราะ เมื่อขึ้นสู่เวที หรือเข้าสู่พื้นที่นำเสนอ การส่งภาษากายจะสร้างพลังแห่งการสื่อสารให้น่าเชื่อมั่น มีพลัง และสะกดผู้ฟังให้อยู่กับคำพูดของเรา สิ่งหนึ่งที่มักเน้นกันนอกจากบุคลิกท่าทางของผู้เล่าแล้ว ดวงตา จะเป็นประตูบานสำคัญของการเล่าเรื่อง เพราะสารที่ส่งไปจะทำให้ผู้ฟังเชื่อมั่น และรับในคำพูดที่เรากำลังส่งออกไป การมองออกไปตรง ๆ ไม่ก้มหน้า การมองเจาะไปที่ดวงตาของใครสักคนที่เราต้องการส่งสาร เป็นการส่งพลังและทำให้เขา "ต้องรับรู้" ว่าเรากำลังสื่อสารไปถึงคุณนั่นแหละ เพราะการเล่าเรื่องเป็นพลังอย่างมหาศาล การให้ภาษาพูด และภาษากายที่สอดคล้อง จะทำให้เรื่องเล่า เข้าไปอยู่ในจิตใจของผู้คน ทำให้เราเข้าไปในนั่งในใจของผู้คน อย่างไรลองเอาไปปรับใช้ และฝึกฝนดูนะครับ ทิ้งทายอีกนิด ในบรรดานักเล่าเรื่องรุ่นเก่า มักพูดกันจนชินปากดูออกเชย ๆ สักนิดว่า ต้น-ตื่นเต้น กลาง-กลมกลืน จบ-จับใจ ซึ่งท่องกันจนเป็นคาถาสำหรับนักเล่าเรื่องไม่ว่ามือเก่าหรือมือใหม่มาช้านานแล้วลองเอาไปปรับ หยิบไปใช้ให้เกิดผลนะครับ นฤเทพ พรหมเทศน์https://creators.trueid.net/@35294ขอบคุณที่มาของภาพ ภาพปก / ภาพที่ 1/ ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4