หนังสือรวมเรื่องสั้น เรื่อง เสาหินแห่งกาลเวลา เป็นหนังสือที่รวมเอาเรื่องสั้น ๑๐ เรื่อง จากนักเขียนทั้ง ๑๐ คน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ได้รับการประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ทั้งสิ้น โดยหนังสือรวมเรื่องสั้นเล่มนี้ได้จัดพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๓๖ และเล่มที่ผู้วิเคราะห์ได้นำมาศึกษาวิเคราะห์นี้คือฉบับที่จัดพิมพ์ครั้งที่สองคือปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เรื่องสั้นทั้ง ๑๐ เรื่องในเล่มนี้ประกอบไปด้วย๑. หมาตำรวจ ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช๒. ปู่บุญ ของ ก.สุรางคนางค์๓. ฉลองวันเกิด ของ ฮิวเมอริสต์๔. ลูกสาวเจ้าของบ้าน ของ ม.ล.ปิ่น มาลากุล๕. ระหว่างบ้านกับถนน ของ กฤษณา อโสกสิน๖. นกนางแอ่น ของ อังคาร กัลยาณพงศ์๗. ทานตะวันดอกหนึ่ง ของ เสนีย์ เสาวพงศ์๘. เมืองใต้น้ำ ของ สุวัฒน์ วรดิลก๙. พระ พระเจ้าอยู่หัว พ่อและลุง ของ อาจินต์ปัจพรรค์๑๐. มือกายสิทธิ์และตีนปิศาจ ของ ลาว คำหอม หนังสือรวมเรื่องสั้นเล่มนี้ถูกตั้งชื่อว่า “เสาหินแห่งกาลเวลา” ก็เพราะได้มาจากความรู้สึกว่าศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ทุกท่าน ล้วนเป็นหลักทางใจแก่คนอ่านวรรณกรรมได้ทุกยุคสมัยนั่นเองซึ่งส่วนของคำอธิบายดังกล่าวนี้ปรากฏอยู่ในส่วนคำนำของหนังสือ อีกทั้งหนังสือรวมเรื่องสั้นเล่มนี้ยังถูกกำหนดโดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ให้เป็นหนึ่งในหนังสืออ่านนอกเวลาที่เหมาะสมกับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ – ๖ ผู้วิเคราะห์จึงเห็นว่าหนังสือเล่มนี้จะต้องมีคุณค่าในด้านใดด้านหนึ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อ่านจึงถูกเลือกหรือกำหนดให้เป็นหนึ่งในหนังสืออ่านนอกเวลาของนักเรียน และตามทัศนะของผู้วิเคราะห์เมื่อทราบว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มีผู้แต่งหลายคนและทุกคนเป็นศิลปินแห่งชาติ ผู้วิเคราะห์จึงได้เลือกที่จะวิเคราะห์หนังสือเล่มนี้เพราะคิดว่าเรื่องสั้น แต่ละเรื่องนอกจากจะให้แง่คิดแล้ว ยังทำให้ผู้อ่านได้เห็นถึงความหลากหลายในการนำเสนอเรื่องราวของนักเขียนแต่ละคนอีกด้วยเรื่องที่ ๑ หมาตำรวจ(ผู้แต่ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช)ผู้เขียนได้นำเสนอแก่นเรื่องโดยนำเสนอผ่านการบอกเล่าโดยตรงของผู้เขียนและนำเสนอผ่านการกระทำของตัวละคร การบอกเล่าโดยตรงคือผู้เขียนเป็นผู้เล่าเหตุการณ์โดยมิได้มีตัวตนปรากฏอยู่ในเรื่องและนำเสนอผ่านการกระทำของตัวละครโดยให้ตัวละครแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ในเรื่องคือการพูดถึงสิ่งที่ตัวละครกระทำในสถานการณ์ที่แตกต่างกันแต่กล่าวเชื่อมโยงถึงเรื่องเดียวกัน ทำให้ผู้อ่านตีความและเห็นความคิดที่เป็นแก่นเรื่องว่าเรื่อง “หมาตำรวจ” ต้องการสื่อถึงความเห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบกันของคนหรือตัวละครในลักษณะต่าง ๆ โดยเฉพาะผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพนักงานของรัฐที่แสดงให้เห็นผ่านตัวละครหลาย ๆ ตัวที่เหมือนกันนั่นคือการละเลยหน้าที่และมุ่งแต่จะหาประโยชน์เข้าตนโดยไม่สนใจบทบาทหน้าที่หลัก อีกทั้งยังได้สะท้อนให้เห็นถึงความจริงของสังคมอีกด้านหนึ่งคือในสังคมไม่มีผู้ใดที่ไม่เคยกระทำความผิดแต่จะมีบุคคลที่กระทำความผิดสองประเภทคือ ประเภทแรกผู้ที่กระทำความผิดแล้วยอมรับผิดกับประเภทที่สองคือผู้ที่กระทำความผิดแต่ไม่ยอมรับผิด และสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของผู้ตายในขณะที่มีชีวิตอยู่ว่าแม้ว่าจะเป็นผู้ที่มีฐานะดี ขยันขันแข็ง แต่หากถูกการพนันครอบงำก็ทำให้สิ้นเนื้อประดาตัวได้เช่นกันคุณค่าที่ปรากฏในเรื่องนอกจากคุณค่าด้านสังคมที่สะท้อนผ่านแก่นเรื่องข้างต้นแล้ว เรื่องนี้ยังมีคุณค่าในด้านของกลวิธีในการใช้ภาษาโดยผู้เขียนได้ใช้ภาษาระดับกึ่งทางการในการดำเนินเรื่องเป็นภาษาที่เข้าใจได้ง่ายและส่วนใหญ่เป็นการสนทนาของตัวละคร มีบางคำที่ใช้ภาษาที่อาจจะต้องแปลบ้างเนื่องจากเป็นภาษาที่ไม่นิยมใช้ในยุคปัจจุบัน เช่น สลากกินรวบ คนปัจจุบันจะรู้จักเฉพาะภาษาปากที่เรียกว่า หวยใต้ดิน นอกจากนี้ยังมีคุณค่าในด้านของศีลธรรมดังจะเห็นได้จากการรู้จักสำนึกผิดชอบชั่วดีและบทบาทหน้าที่ของตน อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่ให้คุณค่าในด้านของความรู้เช่น ลักษณะของหมาตำรวจ ความรู้ในเรื่องของหน้าที่ของแต่ละบทบาทอาชีพเรื่องที่ ๒ ปู่บุญ(ผู้แต่ง ก.สุรางคนางค์) ผู้เขียนได้นำเสนอแก่นเรื่องโดยนำเสนอผ่านทัศนะของผู้เล่าเรื่องนั่นคือตัวละครหนึ่งที่มีตัวตนในเรื่องและนำเสนอผ่านการกระทำของตัวละคร การนำเสนอผ่านทัศนะของผู้เล่าเรื่องคือการให้ตัวละครเด็กคนหนึ่งแต่ไม่ทราบชี้ชัดว่าเป็นใครเป็นผู้เล่าเรื่องเหตุการณ์ทั้งหมดและเป็นผู้ที่สะท้อนข้อคิดในตอนสุดท้ายของเรื่อง อีกทั้งในเรื่องนี้ยังได้นำเสนอแก่นเรื่องผ่านการกระทำของตัวละครเช่นหากจะกล่าวว่าตัวละครมีความเอื้อเฟื้อก็คงไม่ชัดเจนเท่ากับตัวละครมีพฤติกรรมที่เรียกว่าเอื้อเฟื้อ นอกจากนี้ยังมีคำพูดของตัวละครอีกหลายต่อหลายประโยคที่แสดงให้เห็นถึงแก่นของเรื่องว่าเรื่องนี้ต้องการสื่อให้เห็นอะไร เช่น ที่ปู่บุญพึมพำถึงการตายของยายตาลว่า “อนิจจัง วัตสังขารา อนิจจัง ไม่เที่ยง” เป็นต้นคุณค่าที่ปรากฏในเรื่องคือเรื่องนี้ให้คุณค่าในด้านอารมณ์สะเทือนใจผู้แต่งสามารถเล่าเรื่องได้อย่างสะกิดใจผู้อ่านเกิดความสงสารหรือมีความสงสารตัวละครเอก สร้างความสะเทือนใจความเศร้าที่ว่าแม้ตัวละครจะมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เพียงใดก็กลับไม่ได้รับสิ่งนั้นตอบแทนมาเลย นอกจากนี้ยังให้คุณค่าในด้านศีลธรรมคือสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เที่ยงของชีวิต สุดท้ายแล้วทุกคนก็หนีความตายไม่พ้น คุณค่าด้านสังคมคือสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นจริงของคนในสังคมที่ว่าคนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงผู้อื่นก็ต่อเมื่อผู้นั้นมีผลประโยชน์ต่อตนเอง และให้คุณค่าด้านการใช้ภาษาในเรื่องนี้ปรากฏคำที่ไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบันเช่น คำว่า “กวาดยา” ซึ่งหมายถึง การเอายาป้ายในลำคอเด็กโดยใช้นิ้วมือ เป็นการรักษาแบบแผนโบราณ ปัจจุบันไม่ค่อยนิยมใช้เรื่องที่ ๓ ฉลองวันเกิด(ผู้แต่ง ฮิวเมอริสต์)ผู้เขียนได้นำเสนอแก่นเรื่องโดยนำเสนอผ่านการบอกเล่าโดยตรงของผู้เขียนและนำเสนอผ่านทัศนะของผู้เล่าคือตัวละครผู้เป็นพ่อหรือผู้ที่ชื่อนายฮูกในเรื่องซึ่งนายฮูกและผู้เขียนคือคนเดียวกัน นอกจากนี้แก่นเรื่องยังถูกนำเสนอผ่านการกระทำของตัวละครด้วยเช่น แม่ผู้เสียสละอย่างยิ่งคนหนึ่งที่ไม่ได้กล่าวว่าตนเองเป็นผู้เสียสละและไม่มีตัวละครใดในเรื่องกล่าวว่าแม่เป็นผู้เสียสละคุณค่าที่ปรากฏในเรื่องคือเรื่องนี้ให้คุณค่าในด้านอารมณ์สะเทือนใจผู้แต่งสามารถเล่าเรื่องได้อย่างสะกิดใจผู้อ่านเกิดความสงสารตัวละคร สร้างความสะเทือนใจความเศร้าที่ว่าแท้จริงแล้วทุกคนต่างหาเหตุผลเพื่อมอบบางสิ่งบางอย่างให้กับตนเองดังเช่นเรื่องนี้ ในครอบครัวต่างก็ใช้เหตุผลว่าเป็นวันเกิดแม่จึงอยากฉลองวันเกิดแม่ จึงลางานขาดเรียนกันเป็นอาทิตย์แต่ความจริงแล้วกลับไม่ได้ทำอะไรเพื่อแม่เลยจะเห็นได้จากตัวละครทุกตัวได้ของใหม่ ๆ ในวันเกิดแม่ ในขณะที่เจ้าของวันเกิดเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ซื้ออะไรใหม่ หรือแม้แต่ความคิดของพ่อลูกที่จะประดับตกแต่งบ้านก็ขอเงินจากแม่ หรือแม้แต่ไปเที่ยวในโอกาสครบรอบวันเกิดแม่ แม่ก็กลับเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ไปด้วย เรื่องนี้จึงถือว่าเป็นเรื่องที่สะท้อนให้เห็นว่าต่างคนต่างก็หาเหตุผลให้ตนเองหาความสนุกสบายให้ตนเอง ในขณะเดียวกันก็สะท้อนให้ถึงคุณค่าในด้านวัฒนธรรมไทย ในเรื่องของการเป็นแม่ศรีบ้านศรีเรือนคือจะเห็นตัวละครที่เป็นแม่ หรือเป็นภรรยานี้ทำงานบ้านอยู่ไม่เคยขาด ไม่บกพร่องต่อหน้าที่ อีกทั้งยังเห็นถึงบทบาทของผู้หญิงคนหนึ่งว่ามีความสำคัญและเสียสละเพื่อครอบครัวมากเพียงใดเรื่องที่ ๔ ละครพูดเรื่อง ลูกสาวเจ้าของบ้าน(ผู้แต่ง ม.ล.ปิ่น มาลากุล)ผู้เขียนได้นำเสนอแก่นเรื่องโดยนำเสนอผ่านทัศนะของผู้เล่าคือตัวละครผู้เป็นผู้จัดการแสดง จะเห็นได้จากการเกริ่นนำก่อนแสดงละครเวทีซึ่งก็ทำให้ผู้อ่านทราบคร่าว ๆ ว่าเรื่องเป็นอย่างไรและผู้เล่าก็ได้สรุปตอนท้ายได้อย่างแจ่มแจ้ง อีกทั้งแก่นเรื่องที่ว่านี้ก็ยังคาดเดาได้จากการกระทำหรือพฤติกรรมของตัวละครทั้งหมดด้วย โดยแก่นเรื่องของ “ลูกสาวเจ้าของบ้าน” ก็คือมุ่งให้เห็นว่าความดีมีเมตตานั้นจะทำให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น แม้ผู้ที่คิดจะทำร้ายก็เปลี่ยนใจไม่ทำร้ายและศรัทธาในความดีของผู้มีเมตตาคุณค่าที่ปรากฏในเรื่องคือเรื่องนี้ คุณค่าทางด้านศีลธรรม ดังจะเห็นได้จากบทสรุปของผู้จัดการแสดงที่ว่า “คนชั่วมาพบคนใจดีเข้าแล้วย่อมเปลี่ยนไปได้และผู้สร้างความดีมีเมตตานั้น คล้ายอัญมณีมีค่า แม้จะตกจมอยู่ในโคลน คุณค่านั้นก็ไม่เสื่อมคลาย” แสดงถึงอานุภาพของความดีว่าการทำดีมีเมตตาจะช่วยปกปักรักษาผู้นั้นเอง แกทั้งเรื่องนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าด้านภาษาที่สามารถประพันธ์เรื่องขึ้นมาได้โดยใช้ฉากและบรรยากาศเพียงแค่ไม่กี่ฉากโดยอาศัยการคุยโทรศัพท์ ในการดำเนินเรื่องไปช่วงหนึ่งซึ่งก็ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุการณ์หลายเหตุการณ์แต่สามารถสื่อความ ให้ผู้ดูหรือผู้อ่านเข้าใจเรื่องได้เรื่องที่ ๕ ระหว่างบ้านกับถนน(ผู้แต่ง กฤษณา อโศกสิน)ผู้เขียนได้นำเสนอแก่นเรื่องโดยนำเสนอผ่านการกระทำของตัวละครทั้งหมดในเรื่องโดยการเล่าเรื่องนี้ผู้แต่งได้เล่าเรื่องโดยตนเองไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่อง แต่สอดแทรกบทสนทนา และการกระทำต่าง ๆ ของตัวละครที่สะท้อนให้เห็นแก่นของเรื่องหรือแนวคิดสำคัญที่แฝงอยู่ในเรื่อง เรื่อง “ระหว่างบ้านกับถนน” มีแก่นเรื่องคือต้องการที่จะสะท้อนให้เห็นถึงสังคมความอันตรายรอบข้างโดยเฉพาะผู้คน แม้จะขึ้นชื่อว่าเพื่อนก็ใช่ว่าจะรักและเป็นห่วงเราเท่ากับคนในครอบครัว และภัยอันตรายจากสังคมภายนอกคุณค่าที่ปรากฏในเรื่องคือเรื่องนี้ คุณค่าทางอารมณ์ จากเรื่องสามารถสร้างความรู้สึกหดหู่ ความสงสารตัวละครเอกได้อย่างจับใจ และได้เห็นอารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลายเช่น อารมณ์ ความน้อยเนื้อต่ำใจของลงยาที่มีต่อเพื่อน ๆ อารมณ์ความกลัว ความเจ็บปวด ความเศร้าของลงยาและอารมณ์ความรักความห่วงใยของแม่และลายทองที่มีต่อลงยาผู้เป็นน้องสาว จึงอาจกล่าวได้ว่าเรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องที่มีสงครามทางอารมณ์อย่างมากเรื่องหนึ่ง นอกจากนี้ยังสะท้อนให้เห็นคุณค่าด้านศีลธรรมจากการกระทำของลงยาและลายทองที่มีความกตัญญู ให้ความเคารพและเชื่อฟังคำสั่งสอนของแม่ และยังเห็นความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกด้วย และคุณค่าทางด้านสังคมคือสะท้อนให้เห็นถึงการแบ่งแยกชนชั้นของคนว่ายังมีการแบ่งแยกชนชั้นฐานะอยู่ และเรื่องนี้ยังได้ตอกย้ำ คำสอนที่ว่า “อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง” แสดงให้เห็นว่าภัยนั้นมีอยู่รอบตัวเรื่องที่ ๖ นกนางแอ่น(ผู้แต่ง อังคาร กัลยาณพงศ์)ผู้เขียนได้นำเสนอแก่นเรื่องโดยนำเสนอผ่านการบอกเล่าโดยตรงของผู้เขียนและนำเสนอผ่านการกระทำของตัวละคร ดังจะเห็นได้จากกลวิธีการนำเสนอเรื่องนั้นผู้เขียนเป็นผู้เล่าเรื่องเองโดยไม่มีบทบาทในเรื่องสั้นนั้น อีกทั้งยังได้สะท้อนให้เห็นแก่นเรื่องผ่านการกระทำ การสนทนาของตัวละคร ในเรื่อง เรื่องของ “นกนางแอ่น” มีแก่นเรื่องที่มุ่งให้เห็นถึงความรักของแม่ลูกที่มีต่อกันอย่างยาวนานคุณค่าที่ปรากฏในเรื่องคือเรื่องนี้ คุณค่าทางอารมณ์ คือให้อารมณ์สะเทือนใจและบีบหัวใจผู้อ่านอย่างยิ่งโดยเฉพาะในตอนที่ตัวละครที่เป็นลูกนกและแม่นกทราบเรื่องราวของกันและกัน แม่นก ก็ตายด้วยความเจ็บปวด ลูกนกก็หัวใจแตกสลายตายตามแม่ หรือแม้แต่แม่ที่ยินดีมอบร่างกายของตน ให้เป็นอาหารของลูก ข้อนี้นอกจากคุณค่าทางอารมณ์แล้วยังให้คุณค่าด้านศีลธรรมอีกด้วยคือสะท้อน ให้เห็นความรักที่แม่มีต่อลูกไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ผู้เป็นแม่ก็ย่อมมีความรักต่อลูกอย่างสุดหัวใจ และคุณค่าอีกด้านหนึ่งที่เด่นชัดจากเรื่องนี้คือคุณค่าด้านการใช้ภาษาโดยพบว่าเรื่อง “นกนางแอ่น” มีการใช้โวหารภาพพจน์ต่าง ๆ อยู่ตลอดทั้งเรื่อง ที่สำคัญเช่น บุคคลวัติ มีการใช้คำไวพจน์ ใช้พรรณนาโวหาร เป็นต้นเรื่องที่ ๗ ทานตะวันดอกหนึ่ง(ผู้แต่ง เสนีย์ เสาวพงศ์)ผู้เขียนได้นำเสนอแก่นเรื่องโดยนำเสนอผ่านการบอกเล่าโดยตรงของผู้เขียนและนำเสนอผ่านการกระทำของตัวละคร ดังจะเห็นได้จากกลวิธีการนำเสนอเรื่องนั้นผู้เขียนเป็นผู้เล่าเรื่องเองโดยไม่มีบทบาทในเรื่องสั้นนั้น อีกทั้งยังได้สะท้อนให้เห็นแก่นเรื่องผ่านการกระทำ การสนทนาของตัวละคร ในเรื่อง เรื่องของ “ทานตะวันดอกหนึ่ง” มีแก่นเรื่องที่มุ่งให้เห็นถึงความเชื่อของชาวบ้านโดยไม่ฟังเหตุผลของผู้อื่น เป็นความเชื่อที่ไร้การคิดพิจารณา จึงอาจเรียกได้ว่าเป็นความ “งมงาย”คุณค่าที่ปรากฏในเรื่องคือเรื่องนี้ ให้คุณค่าทางปัญญา เช่น ที่กล่าวถึงดอกทานตะวันว่า“เดิมเป็นต้นไม้ขึ้นเองในอเมริกาใต้ แถวเปรู ชิลี ต่อมาจึงแพร่พันธุ์มาทางยุโรป ขยายต่อมาทางเอเชีย และวกลงไปแอฟริกา ชาวเปรูโบราณซึ่งบูชาดวงตะวัน ใช้ดอกทานตะวันบูชา ปัจจุบันมีการปลูกกันมากเพื่อเอาน้ำมันมาใช้ประกอบอาหาร และกากที่บีบเอาน้ำมันออกแล้วใช้เป็นอาหารสัตว์” เป็นต้น คุณค่าทางวัฒนธรรม สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อว่าในสังคมย่อมประกอบไปด้วยความเชื่อหากแต่ ความเชื่อที่ไม่ประกอบไปด้วยสติปัญญาหรือไม่คิดไตร่ตรองก็อาจเป็นความงมงายเรื่องที่ ๘ เมืองใต้น้ำ(ผู้แต่ง สุวัฒน์ วรดิลก)ผู้เขียนได้นำเสนอแก่นเรื่องโดยนำเสนอผ่านการบอกเล่าโดยตรงของผู้เขียนและนำเสนอผ่านการกระทำของตัวละคร ดังจะเห็นได้จากกลวิธีการนำเสนอเรื่องนั้นผู้เขียนเป็นผู้เล่าเรื่องเองโดยไม่มีบทบาทในเรื่องสั้นนั้น อีกทั้งยังได้สะท้อนให้เห็นแก่นเรื่องผ่านการกระทำ การสนทนาของตัวละคร ในเรื่อง เรื่องของ “เมืองใต้น้ำ” มีแก่นเรื่องที่มุ่งให้เห็นถึงความความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองในยุคก่อนกับยุคปัจจุบัน เห็นวิธีชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนแปลงไปดังเช่นในอดีต ผู้คนอยู่กันฉันเครือญาติ ช่วยเหลือกัน ลงแขกเกี่ยวข้าว คนรวยสร้างศาลามีน้ำดื่มให้คนเดินทางแวะดื่มฟรี วัดเป็นโรงเรียน โรงพยาบาลแต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นเสมือนโรงแรม เป็นต้นคุณค่าที่ปรากฏในเรื่องคือเรื่องนี้ ให้คุณค่าทางด้านศีลธรรมเช่น วิถีชีวิตหรือการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในอดีต ผู้คนต่างก็มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน แต่เมื่ออำนาจของเงินเข้ามาก็ส่งผลกระทบต่อหลายสิ่งหลายอย่าง ทำให้คนผิดเป็นคนถูกได้ และทำให้คนถูกกลายเป็นคนผิดได้ และคุณค่าทางด้านประวัติศาสตร์ซึ่งให้ข้อคิดได้ว่าสถานที่ทุกที่ล้วนแล้วแต่มีประวัติความเป็นมาเรื่องที่ ๙ พระ พระเจ้าอยู่หัว พ่อและลุง(ผู้แต่ง อาจินต์ ปัญจพรรค์)ผู้เขียนได้นำเสนอแก่นเรื่องโดยนำเสนอผ่านทัศนะของผู้เล่าเรื่องนั่นคือ ลูก ที่เป็นผู้เล่าเรื่อง อีกทั้งยังนำเสนอแก่นเรื่องผ่านการกระทำ การสนทนาของตัวละครในเรื่องด้วย โดยแก่นเรื่องของ “พระ พระเจ้าอยู่หัว พ่อและลุง” คือ มุ่งให้เห็นถึงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้าอยู่หัว ที่ทุกคนพึงสำนึกไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไรก็ตาม อีกทั้งยังมุ่งให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะทำความดี ความมุ่งมั่นในการหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดดังที่ตัวละครที่เป็น พ่อ ในเรื่องได้ปฏิบัติให้เห็นเป็นแบบอย่าง นั่นคือการรู้จักรับผิดชอบหน้าที่ของตนเอง รู้จักแยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงานคุณค่าที่ปรากฏในเรื่องคือเรื่องนี้ ให้คุณค่าทางด้านศีลธรรมดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าตัวละคร ต่างก็สำนึกในพระบารมีของพระเจ้าอยู่หัว และตัวละครแต่ละตัวต่างก็มีข้อดีที่แตกต่างกันเช่น พ่อ เป็นผู้ที่ซื่อสัตย์สุจริตปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ของตนอย่างดี หรือแม้แต่ลุงก็มีความเห็นแกการเป็นญาติพี่น้องแม้คนละสายเลือดแต่ก็ไม่ทำร้ายน้องเขยของตนเองทั้งที่สามารถทำได้อย่างง่ายดาย เป็นต้นเรื่องที่ ๑๐ มือกายสิทธิ์กับตีนปิศาจ(ผู้แต่ง ลาวคำหอม)ผู้เขียนได้นำเสนอแก่นเรื่องโดยนำเสนอผ่านการบอกเล่าโดยตรงของผู้เขียนและนำเสนอผ่านการกระทำของตัวละคร โดยจากเรื่องเป็นการเล่าเรื่องโดยผู้เขียน และนำเสนอผ่านการกระทำของตัวละครที่แสดงให้เห็นถึงแก่นเรื่องซึ่งเรื่อง “มือกายสิทธิ์กับตีนปิศาจ” คือมุ่งให้เห็นถึงความอยากได้อยากมีของคนแม้จะไม่ได้เป็นผู้ที่อยากได้อยากมีตั้งแต่แรกแต่เมื่อได้เห็นเงินแล้วก็อยากได้เพิ่มขึ้นอีกและอีกมุมหนึ่งมุ่งให้เห็นถึงประโยชน์ของการรู้จักสังเกตรู้จักจดจำรายละเอียดต่าง ๆคุณค่าที่ปรากฏในเรื่องคือเรื่องนี้ ให้คุณค่าทางด้านศีลธรรมดังที่ในเรื่องสุดท้ายแล้วผู้ที่ ลักขโมยก็ต้องได้รับผลกรรมหรืออาจกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่าความลับไม่มีในโลก คุณค่าทางด้านปัญญาคือสะท้อนให้เห็นถึงผู้ที่มีสติรู้จักพินิจพิเคราะห์ สังเกต จดจำ ย่อมทำให้มีปัญญาสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ อีกทั้งยังให้คุณค่าด้านสังคมคือความอยากมีเงิน อำนาจ ของผู้คนอีกด้วยเรื่องและภาพ ผู้เขียน