เคยรู้สึกมั้ย? ตื่นเช้ามาแบบที่ไม่ได้อยากลุก ไม่ได้อยากลา แต่ก็ไม่มีแรงจะลุกจริงๆ งานยังทำได้ ส่งทัน แต่ไม่มีความรู้สึกภูมิใจหรือสนุกกับมันเหมือนเมื่อก่อน ตอบแชต ตอบอีเมล ประชุมเสร็จหมดทุกอย่าง แต่ข้างใน… มันว่างเปล่าแบบอธิบายไม่ได้ ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกว่า “เออ มันใช่ว่ะ” คุณอาจกำลังเผชิญกับ ภาวะ Burnout แบบไม่รู้ตัว ซึ่งน่ากลัวกว่า Burnout แบบทั่วไป เพราะมันไม่ล้มทันที แต่ค่อยๆ ดูดพลังชีวิตจนคุณชินกับความเหนื่อยไปเลย Burnout แบบไม่รู้ตัว…เกิดขึ้นได้ยังไง? ภาวะนี้มักเกิดจาก “ความคาดหวัง” และ “ความกดดัน” ที่ไม่ได้มาจากคนอื่นเสมอไป บางทีมาจากตัวเราเองด้วยซ้ำ เช่น: อยากเป็นคนที่ไว้ใจได้เสมอ ไม่อยากให้ใครคิดว่าเราทำงานไม่เต็มที่ ตั้งเป้าหมายไว้สูงเกินจนกลายเป็นความเครียดสะสม ทำงานต่อเนื่องโดยไม่พัก ไม่หยุด ไม่ฟังร่างกาย พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด...ทุกอย่างเลย สิ่งเหล่านี้ฟังดูเหมือนเป็นนิสัยของคนเก่ง คนตั้งใจ แต่ถ้าไม่รู้จักหยุดพัก มันจะกัดกินพลังใจเราแบบเงียบๆ จนวันหนึ่งถึงขั้น “หมดใจแต่ยังฝืนไปต่อ” แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่า Burnout มาเยือนแล้ว? ลองสังเกตตัวเองดูจากอาการเหล่านี้: ทำงานเสร็จแต่ไม่รู้สึกดี ไม่ภูมิใจเลย รู้สึกเฉยๆ กับความสำเร็จ ไม่มีอารมณ์อยากคุย อยากพบเจอใคร แม้แต่กับคนที่เคยสนิท รู้สึกเบื่อหน่ายแม้แต่งานที่เคยชอบ ใช้พลังไปกับงานจนหมด ไม่มีเหลือให้ชีวิตส่วนตัว อยากหนี แต่ไม่รู้จะหนีไปไหน พอมีวันหยุดก็ยังรู้สึกเครียด หรือรู้สึกผิดที่ไม่ทำงาน ถ้าคุณมีอาการเหล่านี้หลายข้อ แปลว่าไม่ใช่แค่ “เหนื่อยธรรมดา” แล้ว แต่อาจอยู่ในภาวะ Burnout ที่ต้องดูแลตัวเองอย่างจริงจัง วิธีรับมือกับ Burnout แบบไม่ต้องลาออก (ทันที) 1. ยอมรับว่าเรา “เหนื่อย” ได้ ไม่ต้องแข็งแรงตลอดเวลา การยอมรับคือจุดเริ่มต้นของการเยียวยา ไม่ต้องแกล้งเก่งตลอดเวลา การบอกกับตัวเองว่า “ฉันเหนื่อย” ไม่ได้แปลว่าแพ้ แต่มันแปลว่าเรา “ฟังตัวเองเป็น” 2. ลดความคาดหวัง (จากตัวเอง) ลงบ้าง ไม่ต้องเก่งทุกเรื่อง ไม่ต้องได้คำชมจากทุกคน ไม่ต้องแบกทุกอย่างไว้คนเดียว แค่ทำดีที่สุด “เท่าที่ไหว” ก็พอ 3. แบ่งเวลาให้ “พักแบบมีคุณภาพ” พักไม่ใช่แค่เลิกงานแล้วไปไถมือถือ ลองหากิจกรรมที่ให้ใจได้พักจริงๆ เช่น เดินเล่น ฟังเพลง อ่านหนังสือ วาดรูป หรือแค่เงียบๆ อยู่กับตัวเองสัก 15 นาที 4. คุยกับคนที่ไว้ใจได้ บางครั้งเราไม่ได้ต้องการคำแนะนำ แค่ต้องการใครสักคนที่ฟังโดยไม่ตัดสิน และช่วยสะท้อนสิ่งที่เรากำลังเผชิญ 5. ขอความช่วยเหลือ ถ้าไม่ไหว หากเริ่มรู้สึกว่าทุกอย่างหนักเกินไป อย่ากลัวที่จะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น นักจิตวิทยา เพราะบางทีแค่ได้พูด ได้ระบาย ก็ช่วยลดความอัดอั้นในใจได้มากแล้ว สรุปส่งท้าย Burnout ไม่ได้มาในรูปแบบคนที่นอนร้องไห้อยู่บ้าน มันอาจอยู่ในตัวคุณที่ยังไปทำงานทุกวัน ยังตอบแชตลูกค้า ยังยิ้มให้หัวหน้า แต่ข้างในกำลังพังแบบเงียบๆ คุณไม่จำเป็นต้องรอให้ล้มก่อนถึงจะยอมพัก ไม่จำเป็นต้องลาออกเพื่อดูแลตัวเอง และไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดที่อยากให้ใจตัวเอง “มีแรงอีกครั้ง” งานสำคัญ แต่คุณสำคัญกว่า อย่ารอให้ชีวิตพัง เพราะคุณไม่กล้าบอกว่า “ฉันเหนื่อยแล้วจริงๆ” credit ภาพปก: Rudi Endresen/unsplash credit1: Nubelson Fernandes/unsplash credit2: Sydney Latham/unsplash credit3: JESHOOTS.COM/unsplash credit4: Vitaly Gariev/unsplash เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !