ภาพประกอบปกบทความจาก freepik แม้สถานที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศจะต้องปิดตัวลงไปตามคำสั่งของรัฐบาล แต่สถานที่ที่สำคัญอย่างโรงพยาบาลนั้นก็ยังคงจะต้องเปิดทำการตลอดเวลา 24 ชั่วโมง บุคคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศก็ยังคงต้องไปทำงานกันตามปกติไม่สามารถ Work From Home ได้ ซึ่งถึงแม้ว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะนี้จะยังคงทวีความรุนแรงขึ้นจนหลาย ๆ คนเลือกที่จะกักตัวอยู่ในบ้าน แต่สำหรับโรงพยาบาลนั้นก็ยังมีผู้ป่วยทั้งผู้ป่วยทั่วไป ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง รวมทั้งผู้ป่วยที่กลุ่มเสี่ยงโควิด-19 เข้ามารับบริการอยู่อย่างไม่ขาดสาย ภาพจาก freepik การวางมาตรการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อในโรงพยาบาล ตั้งแต่เริ่มมีข่าวการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยในช่วงแรก ๆ ที่จำนวนผู้ป่วยยังคงอยู่ที่หลักไม่กี่สิบราย และในขณะนั้นผู้ป่วยส่วนใหญ่ก็จะเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนหรือคนไทยที่ทำงานใกล้ชิดกับนักท่องเที่ยว หลายโรงพยาบาลทั่วประเทศก็ยังไม่ได้มีมาตรการการป้องกันและเฝ้าระวังที่เข้มงวดเท่าไรนัก บุคคลากรในโรงพยาบาลบางคนก็ยังคงปฏิบัติงานกันตามปกติ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่มาโรงพยาบาลก็ไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย และยังไม่ได้มีการตั้งจุดตรวจโรคแยกออกไปจากโซนตรวจผู้ป่วย แต่หลังจากที่จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อเริ่มมีมากขึ้น มีติดเชื้อจากคนไทยสู่คนไทยด้วยกันเอง และมีการพบผู้ติดเชื้อในต่างจังหวัด โรงพยาบาลก็ได้มีการวางมาตรการหลายอย่างอย่างเข้มงวด ไม่ว่าจะเป็นการปิดกั้นทางเข้าออกโรงพยาบาล ให้ทุกคนที่จะเข้าไปในโรงพยาบาล ทั้งเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลเอง ผู้ป่วยที่มารับบริการ หรือพนักงานส่งของต่าง ๆ ต้องได้รับการตรวจวัดไข้และล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ก่อนเข้าโรงพยาบาลทุกราย มีการจัดตั้ง ARI Clinic (Acute Respiratory Tract Infection) ซึ่งเป็นการจัดพื้นที่สำหรับตรวจผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติต้องสงสัยติดโควิด-19 ในบริเวณพื้นที่เปิดนอกตัวอาคาร และให้ผู้ป่วยได้รับการตรวจแบบเบ็ดเสร็จในจุดเดียวไม่ต้องขึ้นไปปะปนกับผู้ป่วยทั่วไป ภาพจาก freepik สำหรับการตรวจตามนัดรวมถึงการบริบาลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำกายภาพ นวดแผนไทย นัดทำฟัน ผ่าตัด หรืออื่น ๆ ที่ไม่เร่งด่วนก็จะถูกเลื่อนนัดออกไปทั้งหมดเพื่อลดความแออัดของผู้ป่วยในโรงพยาบาล การรับยาที่เป็นยาโรคเรื้อรังก็จะเป็นการจ่ายยาผ่านเจ้าหน้าที่รพสต. โดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องเดินทางมารับยาที่โรงพยาบาลเอง เว้นแต่ผู้ป่วยบางกลุ่มที่จะต้องมาเจาะเลือดที่โรงพยาบาลเท่านั้น ทั้งนี้ก็เพื่อลดจำนวนคนเข้าออกโรงพยาบาลให้น้อยที่สุด ในส่วนของการป้องกันตัวเอง บุคคลากรทางการแพทย์ทุกรายที่สัมผัสพูดคุยผู้ป่วยโดยตรงจะต้องสวมหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ แต่สำหรับบุคคลากรส่วนอื่นที่ไม่ได้ใกล้ชิดกับคนไข้ก็จะต้องสวมหน้ากากผ้า ซึ่งโรงพยาบาลก็พยายามจัดสรรหน้ากากที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เพียงพอต่อการใช้งาน และยังต้องสวม Face Shield ซึ่งโรงพยาบาลก็ใช้เป็น Face Shield ที่ประดิษฐ์ขึ้นกันเองจากแผ่นพลาสติกใสเนื่องจาก Face Shield แบบที่ใช้ทางการแพทย์นั้นมีจำนวนจำกัดเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น และมีการกระจายแอลกอฮอล์สำหรับล้างมือให้เพียงพอต่อทุกหน่วยงาน มีการประชุมวางแผนงานเพื่อให้บุคลากรทุกคนในโรงพยาบาลปลอดภัยที่สุด และเพื่อที่จะคัดกรองค้นหาผู้ป่วยที่เข้ามารับบริการในโรงพยาบาลให้ได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ภาพจาก freepik และจากที่กล่าวไปนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในการวางมาตรการการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อในโรงพยาบาล ซึ่งบุคลากรในโรงพยาบาลทุกคนก็คาดหวังว่ามาตรการเหล่านี้จะเป็นโล่ป้องกันที่ดีทั้งตนเองและผู้ป่วย แต่อย่างที่เราทราบกันดีว่ามีคนไข้บางคนที่เป็นผู้ติดเชื้อเลือกที่จะปกปิดประวัติ จนทำให้บุคลากรทางการแพทย์นั้นติดเชื้อด้วย อีกทั้งการซักประวัติหรือตรวจวัดไข้เพียงอย่างเดียวนั้นไม่สามารถที่จะยืนยันได้ 100% ว่าบุคคลดังกล่าวเป็นติดเชื้อหรือไม่ เนื่องจากผู้ติดเชื้อหลายรายที่เป็นคนอายุน้อยสุขภาพแข็งแรงก็ไม่มีไข้ และมีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น บางรายติดเชื้อมาโดยไม่ทราบแหล่ง ไม่ได้เดินทางกลับจากพื้นที่เสี่ยง ไม่ได้ใกล้ชิดคนกลุ่มเสี่ยง สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา แต่ก็ยังติดเชื้อได้ (เนื่องจากเชื้อสามารถติดต่อผ่านการสัมผัสได้ด้วย) จากปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ร่วมกับสถานการณ์ที่อุปกรณ์ป้องกันที่มีประสิทธิภาพยังมีจำกัด บุคลากรในโรงพยาบาลจำเป็นต้องหาอุปกรณ์อื่นที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันน้อยกว่ามาใช้งานทดแทน จึงทำให้บุคลากรในโรงพยาบาลถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสำคัญที่อาจได้รับเชื้อจากผู้ป่วยได้ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่สำคัญของทุก ๆ คนที่จะต้องร่วมมือและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการติดเชื้ออย่างเคร่งครัด หากไม่มีความจำเป็นไม่ควรมาโรงพยาบาลโดยเฉพาะผู้สูงอายุและคนที่มีโรคประจำตัวจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อรุนแรง ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการลดโอกาสเสี่ยงในการติดเชื้อจากการมาโรงพยาบาลค่ะ ภาพจาก freepik