GISTDA เปิดภาพ “พื้นที่สีดำ” น้ำท่วมเรื้อรังต่อเนื่อง 2 เดือน สัญญาณวิกฤตที่ต้องจัดการด่วน!

เพจเฟซบุ๊กของ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) GISTDA ได้เผยแพร่ภาพถ่ายดาวเทียมล่าสุด แสดงให้เห็นภาพรวมของ สถานการณ์น้ำท่วมขังในพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่สีเข้มที่แสดงถึงระดับความรุนแรงและระยะเวลาที่น้ำท่วมขัง ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญต่อการวางแผนฟื้นฟูและช่วยเหลือประชาชนอย่างตรงจุด

ข้อมูลจากการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมของ GISTDA ครอบคลุมช่วงเวลา ตั้งแต่เดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน 2568 พบว่า พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่

• พื้นที่สีดำ: คือพื้นที่ประสบภาวะ น้ำท่วมเรื้อรังนานกว่า 2 เดือน โดยถูกน้ำท่วมขังต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 6 กันยายนจนถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลามากกว่า 60 วัน ถือเป็น พื้นที่วิกฤตเรื้อรัง ที่ควรได้รับการช่วยเหลือเป็นลำดับแรก ทั้งในด้านการเยียวยาผู้ประสบภัย การดูแลสุขอนามัย และการวางแผนระยะยาวเพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบระบายน้ำ เขื่อน ฝาย และทางน้ำหลัก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำในอนาคต
• พื้นที่สีแดง: คือพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขัง ต่อเนื่องประมาณ 1 เดือน ซึ่งเริ่มได้รับผลกระทบตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยบางส่วนเป็นพื้นที่รับน้ำเพื่อป้องกันความเสียหายในเขตเศรษฐกิจสำคัญของภาคกลาง แต่ก็ยังจัดเป็นพื้นที่ประสบภัยที่ต้องได้รับการช่วยเหลือ การเร่งรัดระบายน้ำออกจากพื้นที่ รวมถึงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจะช่วยลดความเดือดร้อนของประชาชนได้มากขึ้น

นอกจากนี้ ข้อมูลจากดาวเทียมยังสะท้อนถึง ความเสียหายทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในพื้นที่สีดำและสีแดงซึ่งเป็นเขตเกษตรกรรมหลัก ผลผลิตเสียหายจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรในวงกว้าง ขณะเดียวกันยังเกิดปัญหา น้ำเน่าเสียและมลพิษทางสิ่งแวดล้อม รวมถึงความเสียหายต่อระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เช่น ระบบไฟฟ้า ประปา และการระบายน้ำ ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

GISTDA ระบุว่า ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมเหล่านี้เป็น ข้อมูลเชิงประจักษ์ที่สำคัญ สำหรับการวางแผนบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการเยียวยาผู้ประสบภัยให้รวดเร็วและเป็นธรรม ตลอดจนการออกแบบมาตรการป้องกันน้ำท่วมระยะยาว โดยย้ำว่า “การตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลจากดาวเทียมและหลักวิทยาศาสตร์” จะเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยและสร้างความยั่งยืนในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศในอนาคต