“ภาษีทรัมป์” ทุบธุรกิจโลก 3.5 หมื่นล้านดอลล์

“รอยเตอร์ส” วิเคราะห์ข้อมูลจากแถลงการณ์ของบริษัทต่าง ๆ หลายร้อยฉบับ รวมถึงเอกสารที่ยื่นต่อหน่วยงานกำกับดูแล และรายงานผลประกอบการ ระหว่างวันที่ 16 กรกฎาคม-30 กันยายน พบว่า บริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกคาดการณ์มูลค่าความเสียหายทางการเงินอยู่ที่ 2.1-2.29 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้ และอีกราว 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ในปี 2569

การประกาศสงครามการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ทำให้ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ พุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1930 และผู้นำสหรัฐฯ ยังขู่จะเก็บภาษีเพิ่มเป็นระยะ แต่ความไม่แน่นอนเริ่มชัดเจนขึ้นกว่าช่วงแรก ๆ ทำให้ผู้บริหารธุรกิจสามารถคาดการณ์ต้นทุนและวางแผนได้ รวมถึงการขึ้นราคาสินค้าบางรายการ

“โตโยต้า” ค่ายรถรายใหญ่ของญี่ปุ่นประเมินความเสียหายอยู่ที่ 9.5 พันล้านดอลลาร์ ส่วนอีกหลายบริษัทปรับลดประมาณการผลประกอบการลงจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ อาทิ โซนี่, เพอร์นอด ริคาร์ด

“แอนโตนิโอ ฟิโลซา” CEO ของค่ายรถ “สเตลแลนทิส” (Stellantis) ระบุว่า มาตรการภาษีสหรัฐฯ ชัดเจนมากขึ้น และนี่ก็เป็นตัวแปรที่ภาคธุรกิจจำเป็นต้องพร้อมรับมือ 

อย่างไรก็ตาม ยังมีความไม่แน่นอนอยู่จากการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ขู่จะเก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่มอีกร้อยละ 100 เนื่องจากจีนใช้มาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก ซึ่งไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้

จากข้อมูลของ LSEG ระบุว่า บริษัทในดัชนี S&P 500 น่าจะได้รับผลกระทบเรื่องรายได้ โดยมีแนวโน้มที่รายได้ในไตรมาส 3 เดือนกรกฎาคม-กันยายนจะขยายตัวที่ร้อยละ 9.3 ลดลงจากไตรมาส 2 ที่ขยายตัวร้อยละ 13.8 

ผลกระทบหลัก ๆ อยู่ที่ภาคการผลิตและสินค้าเพื่อผู้บริโภค รวมถึงบริษัทที่ต้องพึ่งพาประเทศที่ไม่มีข้อตกลงทางการค้า อย่างกรณีของ “ไนกี้” ผู้ผลิตเสื้อผ้าและเครื่องกีฬารายใหญ่ ได้ปรับเพิ่มประมาณการผลกระทบจากภาษีศุลกากรเมื่อปลายเดือนที่แล้ว สู่ระดับ 1.5 พันล้านดอลลาร์ จากเดิมที่ประเมินไว้ 1 พันล้านดอลลาร์ ด้านผู้ผลิตเครื่องครัว “ทีฟาล์ว” (Tefal) เพิ่งปรับลดคาดการณ์กำไรเนื่องจากความต้องการซื้อที่ลดลง