สวัสดีผู้อ่านทุกๆท่านนะครับ วันนี้นักเขียนก็จะมารีวิวหนังสือเล่มนี้แบบคร่าวๆกัน ใช้คลื่นพลังบวกดึงดูดความสุข นั่นคือ กฏแรงดึงดูดนั่นเอง เป็นหนังสือเล่มที่ดีมากอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องอ่านสักครั้งในชีวิต เขียนโดย เว็กซ์ คิงส์(Vex king) และแปลโดย กิษรา รัตนาภิรัติ คุโด พิมพ์โดย สำนักพิมพ์ อมรินทร์ ราคาเล่มละ245 บาท แต่ถ้าสั่งซื้อผ่านออนไลน์ตอนนี้ทางเว็บไซต์ของ m.se-ed.com เหลือเล่มละ 232.75 บาท เท่านั้น!! ส่วนตัวผู้เขียนชอบอ่านหนังสือที่ให้บทเรียนกับชีวิต ให้แนวคิดใหม่ๆกับเรา ก็อยากจะบอกว่าก่อนจะเจอเล่มนี้ ก็ได้ลองไปฟัง podcast หลายๆคนน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดีนักเขียนก็ได้ไปฟังเรื่องกฏแรงดึงดูดที่เขายกประเด็นเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง พอฟังแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจมาก ก็ลองซื้อมาอ่านดู ก็เปิดอ่านในหน้าแรกมีประโยคหนึ่งในหนังสือที่ อ่านแล้วทำให้เรารู้สึกตกใจกับประโยคนั้น เป็นแค่ประโยคธรรมดาๆที่ไม่ได้มีคำพิเศษแต่ทำให้เรากับสะดุ้งตื่นตัวได้เลย เป็นประโยคที่ทำให้เราคิดได้ว่าที่ผ่านมา เรารักตัวเองมากพอหรือยัง เราใส่ใจตัวเองมากพอหรือยัง มันทำให้เรากลับมานั่งคิดทบทวนกับเรื่องที่ผ่านๆมา ซึ่งอ่านแค่หน้าแรกยังรู้สึกทำให้เราอยากเปิดอ่านในหน้าต่อๆไปมันให้อะไรกับเราเยอะมาก แล้วภาษาที่เขาใช้เขียนในเล่มก็ใช้คำธรรมดาที่เราสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ ไม่ซับซ้อนอะไรมาก พอเราอ่านจบก็ต้องกลับมาอ่านใหม่อีกรอบ อ่านครั้งแรกก็ยังไม่ค่อยเคลียร์ ต้องกลับมาอ่านใหม่ซึ่งหนังสือเล่มนี้พูดถึงกฏของแรงสั่นสะเทือน นักเขียนก็จะขอสรุปหมายถึง ความคิด คำพูด การกระทำเชิงบวกของตัวเอง ที่ส่งต่อพลังบวกให้คนอื่น มันก็จะย้อนกลับมาหาคุณเอง นักเขียนก็ได้อ่านแล้วเอามาปรับใช้กับตัวเองคือเวลาเราเจอ ปัญหาหาอย่างเช่น มีเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจไม่ว่าจะเรื่องการเรียน เรื่องงาน ความรัก เรื่องเพื่อน หรืออะไรก็ตามเราจะพยายามยิ้มออกมาในตอนนั้นและใช่ครับมันยากที่จะฝืนยิ้มแต่ถ้าเราฝึกบ่อยๆมันจะง่ายมากต้องอาศัยการฝึกฝน พอเรายิ้มให้ตัวเองหรือคนอื่นๆ จะรู้สึกมีพลังบวกมากขึ้น ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย แล้วเราก็จะเริ่มมองเห็นความสุขที่มันเกิดขึ้น หรือเราอาจจะลองสังเกตุง่ายๆเลยคือ เวลาเรายิ้มให้คนอื่น คนอื่นก็ยิ้มตอบให้เรา จริงไหมครับ? เพราะการยิ้มเป็นการส่งต่อพลังบวก เราส่งต่อพลังบวกให้เขา แล้วพลังเหล่านั้นก็จะย้อนกลับมาหาเราเช่นกัน ต่อไปนะครับนักเขียนก็จะมาสรุปเนื้อหาแต่ละบท ในหนังสือเล่มนี้มีอยู่7บทด้วยกัน นักเขียนก็จะสรุปแค่บางหัวข้อเท่านั้น!!บทที่1 พูดถึงเรื่อง ความสำคัญของความรู้สึก นักเขียนก็อ่านแล้วสรุปว่า สิ่งที่เราคิด พูดหรือทำอะไรก็ตามที่เป็นบวกแล้วส่งต่อให้คนอื่น มันจะเกิดแรงสั่นสะเทือนที่ส่งออกไป แล้วก็จะดึงดูดสิ่งดีๆกับเข้ามาหาเราเอง อย่างเช่น เราคิดว่า จะซื้อบ้านใหม่สักหลังหนึ่ง แล้วเราก็จินตนาการถึงภาพเหล่านั้นไว้ในหัวให้เสมือนว่าคุณอยู่ในบ้านหลังนั้นจริง จินตนาการเข้าไปว่าตัวเองกำลังทำความสะอาดบ้านหลังนั้น คิดถึงภาพบรรยากาศที่อยู่รอบๆบ้าน หรือของใช้ต่างๆ รวมทั้ง อากาศ แสง เสียง รอบๆตัว อุณหภูมิในตอนนั้น หรือแม้กระทั่งเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้าน จินตนาการถึงห้องต่างๆที่เราต้องมีภายในบ้าน ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น ห้องนอน ห้องรับแขก ยิ่งเห็นภาพชัดเท่าไหร่โอกาสที่มันจะเกิดขึ้นจริง นั้นก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น สิ่งที่นักเขียนได้รู้ก็คือ ถ้าเรายิ่งมีความคิดเชิงบวก มีการกระทำตรงกับสิ่งที่เราต้องการ ใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกที่เป็นบวก มีอารมณ์ที่เป็นบวก ยิ่งชีวิตเรามีความสุข แล้วมันก็จะดึงดูดสิ่งดีๆมาหาเราทำให้มีความสุขมากขึ้น!! เราต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ให้เป็นบวกอยู่ตลอด ยิ่งอารมณ์เป็นบวกก็จะยิ่งมีแรงสั่นสะเทือนสูงขึ้นก็ทำให้มีความสุข บางครั้งกฏแรงดึงดูดก็ไม่ได้ผลเสมอไป แต่การมองโลกในแง่บวกก็ย่อมดีกว่าการมองโลกในแง่ลบเสมอ!!! บทที่2 พฤติกรรมของวิถีชีวิตที่เป็นบวก บทนี้เขาต้องการจะสื่อว่า เราสามารถเปลี่ยนสถานะทางอารมณ์ได้ตลอด ด้วยการทำกิจกรรมต่างๆ ที่ช่วยเพิ่มแรงสั่นสะเทือนให้สูงขึ้นได้หรือการทำสิ่งที่ตัวเองชอบนั่นเอง อย่างนักเขียนเองก็จะ ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ ดูหนัง ฟังเพลง ออกไปเที่ยวกับเพื่อน ออกไปปาร์ตี้กับเพื่อน นั่งสมาธิ นอนหลับ ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกดีขึ้นได้ชั่วขณะ แต่ถ้าเราทำบ่อยๆอาจจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นในระยะยาวได้ และในบทที่2 ยังพูดถึงเรื่องการโดนนินทา เขาพูดถึงการโดนนินทา ซึ่งจะทำให้เรามีอารมณ์ที่เป็นลบกับตัวเอง แรงสั่นสะเทือนของเราจะต่ำลง ที่เขานินทาเราก็เพราะมีอคติกับเรา คนพวกนี้จะเป็นพวกที่มีแรงสั่นสะเทือนต่ำหรืออารมณ์เชิงลบนั่นเอง เขาจะชอบนินทาเรา พวกเขาสนุกกับการนินทาคนอื่นรู้สึกมันสนุก สะใจ เราต้องเอาตัวเองให้ห่างจากคนเหล่านี้ ซึ่งทุกคำพูดมีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของเรา ทำให้เราเครียดและไม่สบายใจได้ซึ่งทุกคนก็คงเคยโดนนินทารวมถึงตัวนักเขียนเอง วิธีที่เราจะทำได้ก็คือ นิ่งเงียบ ปล่อยให้พวกเขาพูดไปแล้วเดินหนีซะไม่ต้องไปคิดมาก ถ้าเรายิ่งตอบโต้สถานการณ์อาจเลวร้ายขึ้นได้ คนเหล่านี้เป็นคนที่มีอีโก้สูง ชอบคิดว่าตัวเองถูกเสมอ ยึดความคิดของตัวเองเป็นหลักอยากเอาชนะเรา ไม่ยอมใคร อยู่ให้ห่างจากคนพวกนี้แล้วจะมีความสุขขึ้น ไม่ต่องใส่ใจคำพูดของเขา!! ในบทที่2ก็ยังพูดถึงเรื่อง การแสดงความขอบคุณ ซึ่งนักเขียนก็สรุปว่า เขาพูดถึงการขอบคุณที่มันช่วยเพิ่มแรงสั่นสะเทือนของเราให้สูงขึ้นได้ มันเป็นเรื่องที่ง่ายมากๆสำหรับเรา คุณลองตื่นมาแล้วขอบคุณตัวเองสัก1เรื่อง เช่น นักเขียนจะขอบคุณตัวเองที่ผ่านเรื่องร้ายๆเมื่อวานมาได้ นักเขียนจะขอบคุณที่วันนี้เราตื่นมายังมีลมหายใจอยู่ มันจะทำให้เรารู้สึกมีกำลังใจที่เพิ่มมากขึ้น รู้สึกดีกับตัวเอง วันนี้อยากให้ลองขอบคุณกับเรื่องอะไรก็ได้ที่คุณรู้สึกอยากขอบคุณ แล้วคุณจะมีความสุขที่มากยิ่งขึ้น ส่งผลให้แรงสั่นสะเทือนของคุณสูงขึ้นอีกด้วย บทที่2ยังมีพูดถึงอีกหลายเรื่อง นักเขียนเลือกเอามาสรุปแค่เฉพาะบางส่วนเท่านั้น! บทที่ 3 เรื่อง เอาตัวเองมาก่อน หนังสือเล่มนี้จะพูดถึงเรื่อง การให้ความสำคัญกับตัวเองก่อนเป็นเรื่องเห็นแก่ตัวไหม? ซึ่งหลังจากที่อ่านนักเขียนก็ได้แนวคิดว่า การนึกถึงตัวเองก่อนนั้นมันเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ ยกตัวอย่าง ถ้าเพื่อนร่วมงานของคุณขอให้ช่วยทำงาน แต่งานของคุณก็ยังทำไม่เสร็จ ถ้าเกิดเราไปช่วยงานเพื่อน มันก็อาจจะเสียเวลากับการทำงานนั้น อาจจะทำให้งานของเราเสร็จไม่ทันเวลาที่กำหนดได้ อาจจะโดนหัวหน้าตำหนิหรือโดนว่าได้ แบบนี้เราก็ควรเห็นความสำคัญของตัวเองก่อน เราช่วยเขาได้แต่ต้องไม่เดือดร้อนตัวเอง เพราะงั้นความสำคัญของตัวเองจึงต้องมาก่อน บทที่3ก็ยังมีอีกหลายเรื่องให้อ่านนะครับ บทที่4 เรื่อง ยอมรับตัวเอง พูดถึงเรื่องชื่นชมความงามในรูปลักษณ์ตัวเอง หลังจากที่ได้อ่านไป ก็ได้แนวคิดว่า ความสวยนั้นมันเป็นสิ่งที่ไม่มีกฏเกณฑ์ ไม่มีขอบเขต ไม่มีข้อจำกัดใดๆทั้งสิ้น มีแค่ข้อจำกัดที่เราสร้างขึ้นมากันเองทั้งนั้น ซึ่งเวลาที่เราชมว่าคนนั้นสวย คนนี้สวยอาจจะเป็นเพราะส่วนหนึ่งอาจจะเป็นความชอบส่วนตัวเราเลยคิดว่าเขาสวยจริงไหมครับ? ความสวยที่แท้จริงแล้วมันต้องมากกว่าแค่รูปลักษณ์ภายนอก ซึ่งต้องงามภายในจิตใจ นิสัย มารยาทต่างหาก เพราะร่างกายคนเรามันเปลี่ยนแปลงตลอดทุกช่วงอายุแต่ลักษณะนิสัย มารยาท จิตใจดี จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต เราอาจจะเห็นคนที่มีรูปลักษณ์ภายนอกสวย ใครเห็นก็ชอบ มีเสน่ห์สามารถดึงดูดคนอื่นให้มาสนใจเราได้มากมาย แต่จะได้คนดีๆมาเป็นแฟนก็คือ มันต้องมากกว่านั้นคือ สิ่งที่อยู่ภายในจิตใจ นิสัย ความคิด การกระทำดีๆของเราเท่านั้น!!ที่จะทำให้เขาอยู่กับเราตลอดไป และอีกเรื่องที่ในหนังสือพูดถึงคือ เคารพเอกลักษณ์ของคุณ นักเขียนก็ได้แนวคิดว่าคนเราไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบ เราต่างก็มีบุคลิกที่เป็นของตัวเอง ถ้าเราพยายามจะเป็นเหมือนคนอื่น ทำเหมือนคนอื่น คิดเหมือนคนอื่น พูดเหมือนคนอื่น แสดงว่าเราก็ไม่ได้ดีกว่าเขาหรอก การทำแบบนี้จะทำให้เรากลายเป็นส่วนหนึ่งของคนอื่น เราไม่ควรที่จะทำตามคนอื่นมันไม่ใช่ตัวตนของเราจริงๆ ที่ทำตามเพราะเห็นว่าคนส่วนใหญ่ทำแล้วเราก็อยากทำตาม ก็เลยตั้งคำถามกับตัวเองว่าที่ผ่านมาเราทำเพราะอยากทำหรือทำตามคนอื่นกันแน่นะ? แน่นอนครับบางครั้งนักเขียนก็ทำตามคนอื่นเพราะเห็นว่าดี เห็นด้วยกับความคิดของเขา แต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้งที่จะทำตาม!! เราต้องรู้จักปฏิเสธด้วย บทที่4ก็ยังมีอีกหลายเรื่องนะครับแต่ขอพูดถึงเพียงแค่นี้บทที่5 ทำสิ่งที่หวังไว้เป็นจริง ก็จะพูดถึงเรื่อง ความสำคัญของการคิดบวก นักเขียนก็ได้แนวคิดว่า เวลาที่เราคิดบวก คิดถึงแต่เรื่องดีๆ มันก็จะทำให้ทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวดีไปหมด จะดึงดูดสิ่งดีๆเข้าหาตัวเอง เหมือนเขากำลังบอกเราว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก็มาจากความคิด คำพูด การกระทำของเราทั้งสิ้น อย่างเช่นเวลาที่เราทำอะไรผิดพลาดก็มักจะโทษตัวเอง โทษสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัว เราเอาแต่คิดเรื่องลบๆจะไม่มีทางมีความสุขได้เลย ดังนั้นเราควรมองโลกในแง่บวกเข้าไว้ ที่ทำผิดพลาดก็อาจจะเป็นเพราะการไม่มีประสบการณ์ของเราก็ได้ ให้คิดแต่สิ่งดีๆแล้วสถานการณ์ที่เลวร้ายจะค่อยๆเบาบางลง เราจะมองโลกนี้ยังไงก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละคน นักเขียนเชื่อเรื่องการมองโลกในแง่บวกบางครั้งผลลัพธ์ที่ได้มันก็เกิดขึ้นจากความเชื่อของเรา!! มันอาจจะไม่ได้ผลเสมอไปนะครับ แต่ยังไงนักเขียนก็เชื่อเพราะมันพิสูจน์ได้ด้วยตัวเองมาแล้วหลายครั้ง ในหนังสือยังพูดถึง เรื่อง พูดให้กำลังใจบ่อยๆ ก็ได้แนวคิดว่า คำพูดเชิงบวกที่เราพูดกับตัวเองทุกวันๆ ยิ่งพูดบ่อยๆ มันก็จะสร้างความเชื่อบางอย่างที่ฝังอยู่ภายในจิตใจของเรา แล้วเรื่องนั้นจะเป็นจริง เราสามารถพูดให้กำลังใจตัวเองเมื่อไหร่ก็ได้ สถานการณ์ไหนก็ได้ ตามที่ตัวเองต้องการ ต่อไปเรื่อง จักรวาลสนับสนุนคุณอยู่ นักเขียนก็ได้แนวคิดว่า ถ้าเราต้องการที่จะทำอะไรบางอย่างให้สำเร็จขึ้นมา คุณต้องใช้ความเชื่ออย่างสุดใจ เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นจริงแล้วไม่หวั่นไหวกับสิ่งที่เจอในระหว่างทาง ความคิดเชิงบวก ความมุ่งมั่น ความพยายามทั้งหมดที่มีทุ่มเทให้กับสิ่งนั้น แล้วคุณก็ลงมือทำอย่างตั้งใจ ซึ่งจักรวาลก็จะคอยสนับสนุนเรานำพาชีวิตเราไปสู่สิ่งที่ต้องการได้ บทที่6 ทำให้สิ่งที่หวังไว้เป็น-ลงมือทำ นักเขียนก็ได้แนวคิดว่า ทุกคนมีเป้าหมายแต่บางครั้งเราก็บ่นว่า เราไม่มีเวลาลงมือทำ ไม่พร้อม รอพร้อมก่อนค่อยทำ ซึ่งถ้าเรามัวแต่รอก็คงไม่ได้ลงมือทำ มัวแต่รอให้ตัวเองพร้อม เป้าหมายของเราก็ยากที่จะสำเร็จเราไม่ต้องรอให้ตัวเองพร้อม จงลงมือทำ ณ ตอนนี้เลย ค่อยๆทำมัน ค่อยๆก้าวไปข้างหน้า อาจจะก้าวเล็กแต่ก็ยังดีกว่าการหยุดอยู่กับที่นะครับ เช่น นักเขียนก็อยากมีสุขภาพดีแต่บางครั้งก็ขี้เกียจออกกำลังกายดังนั้นก็นึกถึงเป้าหมายของเราไว้แล้วพาตัวเองลุกไปออกกำลังกายซะ!! ยังพูดถึงเรื่อง ความเปลี่ยนแปลงอาศัยการลงมือทำ ก็ได้แนวคิดว่าทุกการกระทำของเราไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ มันก็ย่อมเปลี่ยนแปลงเสมอ อย่างเช่น เราคาดหวังว่าอยากมีเงินมากมายแต่กลับไม่ลงมือทำอะไรเลย ไม่คิดที่จะหางานทำ แต่ในทางตรงกันข้ามเราพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมาด้วยความสุจริต ความมุ่งมั่น ความอดทน จินตนาการถึงเป้าหมาย คิดบวกตลอด เชื่อว่าไม่นานเราจะทำฝันนั้นเป็นจริง เรื่องต่อมาคือเรื่อง ความต่อเนื่องนำไปสู่ผลลัพธ์ ที่นักเขียนสรุปก็คือการลงมือทำสิ่งนั้นเป็นประจำ ทำอย่างสม่ำเสมอ ทำด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ นักเขียนก็ได้แนวคิดว่า ถ้าเราอยากมีร่างกายที่แข็งแรงก็ต้องหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ ต้องมีวินัยกับตัวเอง จริงจังกับการออกกำลังกาย ต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ คุมอาหาร ผ่านไปสัก6เดือน เราจะเห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ยังพูดถึง เรื่อง ความเชื่อมั่น vs ความกลัว คุณเคยรู้สึกกลัว รู้สึกกังวลอะไรบางอย่างไหมครับ ก็ได้แนวคิดว่า เวลาเรากลัวมันไม่ได้ทำให้ปัญหาที่พบเจอดีขึ้นเลยซึ่งมันก็จริงอย่างที่เขาบอกไว้ กลัวความผิดพลาด กลัวความล้มเหลวจนไม่กล้าที่จะลงมือทำอะไรเลยจริงไหมครับ? ยิ่งเราทำแบบนี้บ่อยๆมันจะทำลายความเชื่อมั่นของเรา มันก็จะฝังจิตใจของเราอยู่อย่างนั้นทำให้ไม่กล้าที่จะลงมือทำเพราะความกลัวมันชนะความเชื่อมั่นของเรานั่นเองครับ ถ้าปล่อยไว้ชีวิตเราก็อาจจะไม่เจอเรื่องดีๆเลย เอาแต่หนี หลีกเลี่ยงมัน เราควรพยายามที่จะมองโลกในบวกไว้เสมอ ความเชื่อมั่น ไม่ได้ทำให้ทุกสิ่งมันดูง่ายเสมอไป แต่จะทำให้สิ่งต่างๆที่เราเชื่อ มันเป็นไปได้นั่นเอง หลายครั้งนักเขียนก็กลัวความล้มเหลว กลัวผลลัพธ์ที่มันจะเกิดขึ้นไม่เป็นดั่งใจเราก็ทำได้แค่มองโลกในแง่บวกเขาไว้ แล้วมันจะมีความรู้สึกดีๆเกิดขึ้น ดีกว่าความรู้สึกที่เป็นลบแน่นอนบทที่7 ความเจ็บปวดและความมุ่นมั่น ในบทนี้มี อริสโตเติล ได้ให้เเนวความคิดกับผู้ที่อ่าน นักเขียนก็ได้แนวคิดว่า ประสบการณ์ทั้งหมดที่เราเคยเจอมาไม่ว่าจะดีหรือโหดร้ายสักแค่ไหน ก็ล้วนทำให้เราเติบโตขึ้น ทำให้ได้รับบทเรียนจากทุกสิ่งที่มันเกิดขึ้น บางครั้งก็เจ็บปวดเกือบตาย บางครั้งก็ผ่านไปได้แบบง่ายดาย ล้วนแล้วเป็นครูของเราทั้งสิ้น ถ้าเราเอาแต่มองโลกในแง่ลบว่าเหมือนตัวเองถูกกระทำอยู่ตลอดเจอแต่ปัญหา ชีวิตเราก็จะย่ำแย่อยู่เสมอ ดังนั้นจึงมองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้เป็นบวกอยู่เสมอ ต่อมาเรื่อง ความเจ็บปวดเปลี่ยนคน ซึ่งอยู่ในในบทที่7 นักเขียนก็ได้แนวคิดว่า เราทุกคนรวมถึงตัวนักเขียนเอง ต่างก็เคยผ่านช่วงเวลาแย่ๆของตัวเองกันมาทั้งนั้น ซึ่งพอเราผ่านไปได้ เราก็จะพบว่าตัวเราเองเข้มแข็งขึ้นจากเมื่อก่อนมากๆ เราจะไม่มีทางเข้มแข็งได้ ถ้าไม่เคยผ่านความเจ็บปวดมาก่อน ซึ่งมันทำให้เรามองย้อนกลับไปในอดีต ว่าแต่ละเรื่องที่เจอก็ล้วนทำให้เรามีความเข้มแข็งขึ้น อดทนมากขึ้น ใจเย็นมากขึ้น ทุกคนคงเคยได้ยินคำว่า ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอ ในบทที่7 ก็ยังพูดถึง เรื่อง บทเรียนจะซ้ำรอย ซึ่งนักเขียนก็ได้แนวคิดว่า ชีวิตเรามักจะถูกให้เจอบททดสอบนั้นอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะผ่านสิ่งนั้นไปได้ ก็ไม่แปลกอะไรถ้าเราจะเจอบททดสอบเรื่องเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า บททดสอบที่เราเจอบางครั้งอาจจะรู้สึกว่ามันท้อ มันหมดแรง มันโหดร้าย และบางอย่างก็เป็นบททดสอบธรรมดาๆ แต่ทุกบททดสอบก็เป็นเรื่องที่เราสามารถจัดการได้ และเมื่อผ่านไปได้เราก็ยังจะเจอบทสอบที่ยากขึ้นเพื่อเป็นความท้าทายให้เราได้ก้าวข้ามมันไปเช่นเคย หนังสือเล่มนี้เป็นอีกเล่มที่นักเขียนชอบมาก มันให้แนวคิดใหม่ๆ มุมมองใหม่ๆที่มีต่อโลกทั้งความคิด ทัศนคติที่เป็นบวก ความเชื่อต่างๆ ได้ความรู้ใหม่ๆ ซึ่งมันเป็นอีกเล่มที่ควรค่าแก่การอ่านมากๆ และเล่มนี้มียอดขายกว่า 6 แสนเล่มทั่วโลก!! เป็นหนังสือที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจต่อผู้อ่านได้เป็นอย่างดี เรื่องในแต่ละบทที่นักเขียนเอามารีวิวก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งภายในเล่ม ถ้าได้ลองซื้อมาอ่านจริงๆจะรู้ว่ามันคุ้มค่ามากแค่ไหน นักเขียนยังรู้สึกดีใจมากๆที่ได้อ่านเล่มนี้ ก็อยากมาแชร์ประสบการณ์จากการอ่านที่ได้รับ สิ่งที่เราได้อ่านไปจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อเราคิดตาม เข้าใจ แล้วเอาไปปรับใช้จริงได้ นักเขียนก็หวังว่าผู้อ่านจะมีความสนใจที่อยากจะซื้อมาอ่านสักครั้งหนึ่งนักเขียนก็หวังว่าบทความอันนี้จะมีประโยชน์กับผู้อ่านไม่มากก็น้อย ถ้าผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย #เว็กซ์ คิงส์ #หนังสือสร้างแรงบันดาลใจ ขอบคุณการออกแบบปกจาก canva.comภาพปกโดย ผู้เขียนภาพที่ 1 / rezaqorbani : Pixabayภาพที่ 2 / Pexels : Pixabayภาพที่ 3 / StartupStockPhotos : Pixabayภาพที่ 4 / DzeeShah : Pixabayภาพที่ 5 / sweetlouise : Pixabayภาพที่ 6 / Pexels : Pixabayภาพที่ 7 / Anemone123 : Pixabayเนื้อหาทั้งหมดโดย Seaskyติดตามอ่านบทความอื่นๆที่น่าสนใจจาก seaskyอัปเดตข่าวสาร และแหล่งเรียนรู้หลากหลายแบบไม่ตกเทรนด์ บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !