ทำไมหญิงสาวในโลกตะวันตก จำนวนมากยังเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของสามี แม้กฎหมายไม่ระบุ
![ทำไมหญิงสาวในโลกตะวันตก จำนวนมากยังเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของสามี แม้กฎหมายไม่ระบุ](https://cms.dmpcdn.com/contentowner/2020/03/25/20dd56b0-6e5a-11ea-b8a2-09037777d4af_original.png)
![ทำไมหญิงสาวในโลกตะวันตก จำนวนมากยังเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของสามี แม้กฎหมายไม่ระบุ](https://cms.dmpcdn.com/news/2020/10/07/e4390090-0857-11eb-b92e-23d185adcda9_original.jpg)
ทำไมหญิงสาวในโลกตะวันตก จำนวนมากยังเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของสามี แม้กฎหมายไม่ระบุ - BBCไทย
การวางแผนแต่งงานในช่วงที่เกิดโรคระบาดใหญ่มีความไม่แน่นอนอยู่หลายอย่าง แต่สำหรับ ลินด์เซย์ อีวานส์ ผู้หญิงวัย 30 ปี มีสิ่งหนึ่งที่เธอมั่นใจคือ การเปลี่ยนไปใช้นามสกุลสามี การแต่งงานระหว่างหญิงจากแคลิฟอร์เนียกับคู่รักของเธอมีกำหนดจัดขึ้นในเดือน ก.ค. 2021
ในสหรัฐฯ มีผู้หญิงราว 70% ใช้นามสกุลของสามีหลังจากแต่งงานกัน ส่วนในสหราชอาณาจักร ตัวเลขนี้อยู่ที่เกือบ 90% ตามข้อมูลในปี 2016 และ 85% ของผู้หญิงเหล่านี้มีอายุระหว่าง 18 ถึง 30 ปี
แม้ว่าแนวโน้มนี้จะลดลงเมื่อเทียบกับคนรุ่นก่อน แต่ก็ยังเห็นได้ชัดว่า บรรทัดฐานทางวัฒนธรรมนี้ยังคงมีในหลายประเทศของโลกตะวันตก ทั้งที่สังคมปัจจุบันมีความเป็นปัจเจกและตระหนักถึงเรื่องเพศมากขึ้น
แม้ว่า คำว่า สตรีนิยม (feminism) อาจจะมีหลากหลายนิยาม แต่ 68% ของผู้หญิงที่อายุต่ำกว่า 30 ปี นิยามตัวเองว่า เป็นนักสตรีนิยม ในสหรัฐฯ ส่วนในสหราชอาณาจักรอยู่ที่ราว 60%
ไซมอน ดันแคน ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยแบรดฟอร์ด (University of Bradford) ของสหราชอาณาจักร ซึ่งได้ศึกษาประเพณีนี้ กล่าวว่า "ค่อนข้างน่าประหลาดใจ เพราะประเพณีนี้มาจากประวัติศาสตร์ที่ชายเป็นใหญ่ มาจากแนวคิดที่ว่า ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วเป็นสมบัติอย่างหนึ่งของผู้ชาย"
ประเพณีนี้มีมายาวนานในประเทศส่วนใหญ่ที่พูดภาษาอังกฤษ แม้ว่าแนวคิด "การเป็นเจ้าของ" ภรรยา ไม่ได้ถูกยอมรับในสหราชอาณาจักรมานานกว่า 1 ศตวรรษแล้วก็ตาม และปัจจุบันนี้ก็ไม่มีกฎหมายบังคับให้เปลี่ยนไปใช้นามสกุลของสามีด้วย
ยุโรปตะวันตกหลายประเทศได้หันมาทำตาม ยกเว้นสเปนและไอซ์แลนด์ ซึ่งผู้หญิงใช้นามสกุลของตัวเองอยู่แล้ว และกรีซ ซึ่งออกกฎหมายบังคับในปี 1983 ว่า ให้ผู้หญิงคงนามสกุลของตัวเองไว้ตลอดชีวิต
แม้แต่ในนอร์เวย์ ซึ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในประเทศชั้นนำของโลกในด้านความเท่าเทียมทางเพศ และมีประวัติศาสตร์เกี่ยวกับชายเป็นใหญ่น้อยกว่าที่อื่น ผู้หญิงส่วนใหญ่ในนอร์เวย์ก็ยังคงเลือกใช้นามสกุลสามี แต่มีผู้หญิงราวครึ่งหนึ่งที่ใช้นามสกุลเดิมของตัวเองเป็นชื่อกลาง หรือทำหน้าที่เหมือนกับเป็นนามสกุลที่สอง
- ความรุนแรงในครอบครัว : “บ้าน” คือสถานที่ที่ผู้หญิงมีความเสี่ยงจะถูกสังหารได้มากที่สุด
- เมียฝรั่ง : ความฝัน ความจริง ความทุกข์ใจ และชะตากรรมอันโหดร้าย
- 100 Women : ภิกษุณีธัมมนันทา ติด 1 ใน 100 สตรีผู้เป็นแรงบันดาลใจและทรงอิทธิพลประจำปี 2019 ของบีบีซี
- ไวรัสโคโรนา : การระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้หญิงในเอเชียต้องเผชิญกับความทุกข์ยากใดบ้าง
ดันแคน ซึ่งเพิ่งร่วมงานกับนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยออสโล (University of Oslo) และมหาวิทยาลัยเวสต์ออฟอิงแลนด์ (University of the West of England) ในการศึกษาถึงเหตุผลที่ประเพณีนี้ยังคงอยู่ในปัจจุบัน ตั้งคำถามว่า "ประเพณีนี้มีพิษภัยอะไรไหม หรือมีความหมายบางอย่างที่ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนมาจนถึงตอนนี้หรือเปล่า"
ประเพณีชายเป็นใหญ่
มีเหตุผลจำนวนมากว่าทำไมผู้หญิงอาจจะต้องการเปลี่ยนนามสกุลก่อนแต่งงานของตัวเอง อาจจะมีทั้งการที่เธอไม่ชอบนามสกุลเดิม หรือเพราะต้องการตัดขาดกับสมาชิกในครอบครัวที่ใช้ความรุนแรงกับเธอ หรือพ่อแม่ที่ไม่ได้เหลียวแลเลี้ยงดูเธอ
แต่หลังจากมีการวิเคราะห์การวิจัยนี้อย่างละเอียดและมีการสัมภาษณ์คู่แต่งงานข้าวใหม่ปลามันหรือคนที่เพิ่งหมั้นหมายกันหลายคู่ในสหราชอาณาจักรและนอร์เวย์ คณะทำงานของดันแคนได้ระบุว่า มี 2 เหตุผลหลัก
ประการแรกคือ การคงอยู่ของอำนาจแบบชายเป็นใหญ่ ประการที่สองคือ "ครอบครัวที่ดี" ในอุดมคติ คือการต้องใช้นามสกุลของคู่ครองเพื่อสื่อถึงพันธะสัญญาที่ให้ไว้ต่อกันและนั่นจะทำให้คุณและลูก ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน
คู่แต่งงานบางคู่ยอมรับการเปลี่ยนนามสกุลเพียงเพราะว่า มันเป็นประเพณี ขณะที่อีกหลายคู่ยอมรับแนวคิดในการสืบทอดนามสกุลของฝ่ายชายอย่างเต็มที่
"ผู้ชายบางคนยังคงยืนกรานที่จะรักษาแนวคิดที่สรุปว่าชายเป็นใหญ่ที่มีมาตั้งแต่ในอดีต ผู้หญิงบางคนยอมทำเช่นนั้นและไม่ได้รู้สึกเอะใจอะไร มีผู้หญิงหลายคนที่อยากจะใช้นามสกุลของสามีอย่างมากด้วย" ดันแคนอธิบาย
การวิจัยของคณะทำงานของเขาระบุว่า แนวปฏิบัติในการเปลี่ยนนามสกุลของผู้หญิงมีส่วนเกี่ยวข้องกับประเพณีชายเป็นใหญ่อื่น ๆ อย่างเช่น พ่อของเจ้าสาวต้องเป็นคนยกลูกสาวให้ และฝ่ายชายมักเป็นคนขอแต่งงาน
ดันแคนบอกว่า พิธีที่สำคัญเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของ "แพ็กเกจการจัดพิธีแต่งงาน" สำหรับหลายคู่
โครินนา เอิร์ช ชาวเยอรมันวัย 32 ปี ที่อาศัยอยู่ในกรุงสตอกโฮล์มของสวีเดน เห็นด้วยว่า "มันคือส่วนหนึ่งของความรัก" เธอเปลี่ยนมาใช้นามสกุลของสามีหลังแต่งงานเมื่อปีที่แล้ว
"เรานอนแยกห้องกันในคืนก่อนวันงาน พ่อและสามีของฉันกล่าวสุนทรพจน์ แต่ฉันไม่ได้พูด" เธอกล่าวเพิ่มเติม
เอิร์ช เชื่อว่า ประเพณีเหล่านี้ช่วยให้เธอและคู่ครองมีความผูกพันกันมากยิ่งขึ้น แม้ว่าพวกเขาอยู่ด้วยกันมากก่อนแต่งงานแล้วกว่า 8 ปีก็ตาม
"เราไม่ได้คาดหวังว่า จะรู้สึกใกล้ชิดกันมากขึ้นหลังแต่งงาน แต่การที่เราจัดงานแต่งใหญ่โตและเพียงแค่เปลี่ยนมาใช้นามสกุลเดียวกัน มันส่งผลเช่นนั้น"
"ครอบครัวที่ดี"
เหตุผลที่สองที่ดันแคนและคณะทำงานของเขาศึกษาเป็นเรื่องเกี่ยวกับมุมมองของสาธารณชนมากกว่า พวกเขาได้สรุปว่า คนมองว่าการใช้นามสกุลของคู่ครอง เป็นวิธีการแสดงออกถึงการมีพันธะสัญญาต่อกันและความเป็นหนึ่งเดียวกันต่อคนภายนอก
ลินด์เซย์ อีวานส์ จากแคลิฟอร์เนีย เห็นด้วย "ฉันรู้สึกว่า มันทำให้เรามีเอกลักษณ์ในฐานะของการเป็นครอบครัว ไม่ใช่การเป็นปัจเจกชน"
งานวิจัยของดันแคน สรุปว่า คำพูดที่ว่า "ครอบครัวที่ดี" มีอิทธิพลอย่างยิ่งในกลุ่มผู้หญิงที่มีลูกแล้ว แม้ว่าผู้หญิงบางส่วนที่ตอนแรกไม่ยอมใช้นามสกุลของสามี ก็ยอมเปลี่ยนมาใช้นามสกุลของสามีหลังจากมีลูก
เจมี เบิร์ก นักเต้นบัลเล่ต์และนักยิมนาสติกชาวอเมริกันวัย 36 ปี ในกรุงออสโลของนอร์เวย์ กล่าวว่า "ฉันอยากทำเช่นนี้เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกชายของฉัน ไม่ใช่แค่เรื่องความสัมพันธ์ของเรา แต่เป็นเรื่องของเอกสารด้วย"
หลังจากใช้นามสกุลของตัวเองที่ใช้มาตั้งแต่เกิดมานานหลายปี เพราะมันมีความสำคัญต่อตัวตนในหน้าที่การงานของเธอ เธอได้เพิ่มนามสกุลของสามีเข้าไปในหนังสือเดินทางของเธอและเอกสารอื่น ๆ หลังจากที่ลูกชายเกิด เพื่อที่ "ทั้งสามคนจะได้มีนามสกุลเดียวกัน" เธอหวังว่า การทำเช่นนี้ จะทำให้ไม่ต้องเผชิญความยุ่งยากกับเจ้าหน้าที่ทางการ อย่างเวลาที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ
การศึกษาของดันแคน ได้เน้นย้ำถึงความรู้สึกร่วมกันอีกอย่างหนึ่งในหมู่ผู้ที่เป็นพ่อแม่ และนั่นก็คือการที่ลูก ๆ รู้สึกสับสนและไม่พอใจ จากการที่พ่อแม่ของตัวเองใช้นามสกุลต่างกัน
แต่เขาแย้งว่า แม้ว่าเรื่องนี้จะสร้างความรู้สึกไม่สบายใจสำหรับผู้ใหญ่ แต่การวิจัยทางสังคมระบุว่า เรื่องนี้มีผลกระทบที่จำกัดต่อตัวเด็ก และเด็กส่วนใหญ่ก็ไม่รู้สึกสับสนเลยว่าใครเป็นส่วนหนี่งของครอบครัวพวกเขาบ้าง ไม่ว่าจะใช้นามสกุลใดก็ตาม
ประเพณีต่อต้านแนวคิดสตรีนิยม
นักวิชาการเห็นต่างกันในเรื่องที่แนวปฏิบัตินี้มีผลต่อความพยายามในการทำให้เกิดความเท่าเทียมทางเพศอย่างไร
ดันแคน เรียกมันว่า "ค่อนข้างอันตราย" ถ้าคู่สามีภรรยาทำเช่นนี้ เพราะพวกเขาเปิดรับประเพณีนี้ หรือยอมรับมันตั้งแต่ต้น
"มันเป็นตัวบงการแนวคิดที่ว่า สามีคือผู้มีอำนาจ... ผลิตซ้ำประเพณีที่สามีเป็นหัวหน้าครอบครัว" นักวิจัยรายนี้อธิบาย
ข้อโต้แย้งดังกล่าว ได้รับการสนับสนุนอย่างหนักแน่นจากผู้หญิงอย่าง นิกกิ เฮสฟอร์ด วัย 34 ปี เจ้าของธุรกิจทางเหนือของอังกฤษ ปัจจุบันเธอหย่ากับสามีแล้ว แต่เธอไม่ยอมใช้นามสกุลของสามีตั้งแต่ตอนแต่งงานกัน เธอบอกว่า เธอประหลาดใจที่เห็นผู้หญิงเพียงส่วนน้อยที่ทำเช่นเดียวกับเธอ
"ผู้หญิงบ่นว่า พวกเธอต้องเป็นฝ่ายคอยเอาอกเอาใจเสมอ เป็นคนที่ต้องทิ้งงานไว้ก่อนเมื่อลูกไม่สบาย และต้องพาลูกไปโรงพยาบาล หรือเป็นคนที่ได้รับผลกระทบจากความก้าวหน้าในอาชีพการงาน แต่นั่นมันมาจากจุดเริ่มต้นที่พวกเธอกำหนดแต่แรก (การเปลี่ยนนามสกุล) ด้วยการบอกว่า 'คุณสำคัญกว่าฉัน คุณเป็นเสาหลัก และฉันเป็นรอง'" เฮสฟอร์ด กล่าว
"บางคนบอกฉันว่า ฉันคิดมากเกินไปในเรื่องนี้ และบอกว่า มันไม่ได้มีความหมายในทุกเรื่อง แต่ฉันไม่เห็นด้วย" เธอกล่าวเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม ฮิลดา เบิร์ก นักบำบัดที่เป็นคู่สามีภรรยาชาวไอริช เชื่อว่า ผู้หญิงที่เลือกใช้นามสกุลเดิมของตัวเองไม่ควรด่วนตัดสินคนอื่น ผู้เชี่ยวชาญรายนี้ชี้ว่า แนวคิดเหล่านี้ "ความรักที่ล้าสมัย" ซึ่งถูกปลูกฝังมาจากภาพยนตร์และวรรณกรรม ถูกนำมาขยายด้วยเครือข่ายสังคมต่าง ๆ
นั่นหมายความว่า ผู้หญิงจะยังคงได้รับอิทธิพลจากข้อความประเภทนี้ต่อไป แม้ว่าความจริงแล้ว สตรีนิยมมีการพูดถึงกันมากขึ้นในปัจจุบัน
"เนื้อหาจำนวนมากของบรรดาอินฟลูเอนเซอร์วนเวียนอยู่กับการมีแฟน การจัดงานแต่งงานใหญ่โต และการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ แม้ว่า ผู้หญิงเหล่านี้จะเป็นนักสตรีนิยม แต่วิถีชีวิตที่พวกเธอแสดงออกมานั้นมาจากความรักในอุดมคติ" เบิร์ก กล่าว
ผู้เชี่ยวชาญรายนี้เชื่อว่า สำหรับหลายคน การเปลี่ยนไปใช้นามสกุลสามี เป็นทางเลือกที่ทำได้ และไม่ได้เกี่ยวกับการเป็นนักสตรีนิยมที่มากหรือน้อยแต่อย่างใด
อีกข้อโต้แย้งหนึ่งคือ สุดท้ายแล้ว สตรีนิยมคือการให้เสรีภาพในการเลือกแก่ผู้หญิง นั่นหมายความว่า ตราบใดที่พวกเธอเป็นผู้ตัดสินใจเลือกนามสกุลที่จะใช้ได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญว่า เธอจะเลือกตามบรรทัดฐานที่ชายเป็นใหญ่
"แฟนของฉันไม่เคยบอกฉันให้ใช้นามสกุลของเขา ในฐานะนักสตรีนิยม ฉันสามารถตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับฉัน โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับบทบาททางเพศ" อีวานส์ กล่าว
จะมีคนเปลี่ยนมาใช้นามสกุลสามีมากขึ้นในอนาคตหรือไม่
นักวิจัยถกเถียงกันอย่างร้อนแรงว่า ประเพณีการใช้นามสกุลตามสามีในอนาคตว่าจะแพร่หลายมากแค่ไหน มีการวิจัยเชิงวิชาการที่ออกแนวคาดการณ์เล็กน้อยระบุว่า มีข้อบ่งชี้หลายอย่างว่า ผู้หญิงและผู้ชายต่างก็เปิดรับทางเลือกต่าง ๆ มากขึ้น แม้ว่าจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ในสหราชอาณาจักร การสำรวจคนมากกว่า 1,500 คนในปี 2016 เผยให้เห็นว่า 59% ของผู้หญิงจะยังเลือกที่จะใช้นามสกุลของคู่สมรสหลังจากแต่งงาน และ 61% ของผู้ชายยังคงต้องการให้ผู้หญิงเปลี่ยนมาใช้นามสกุลของพวกเขา
อีกการสำรวจหนึ่งเผยว่า 11% ของผู้ที่มีอายุ 18-34 ปี ในสหราชอาณาจักร ขณะนี้ใช้นามสกุลของตัวเองและสามีรวมกันหลังจากแต่งงาน นี่คือแนวปฏิบัติที่ยึดถือกันในครอบครัวที่ร่ำรวยมาแต่โบราณ
นิก นิลส์สัน-บีน ชายชาวอังกฤษวัย 36 ปี ที่อาศัยอยู่ในสวีเดน ซึ่งใช้นามสกุลของตัวเองและภรรยารวมกัน กล่าวว่า "เราคุยกันถึงเรื่องนี้มาก่อน และตัดสินใจว่า ในเมื่อเราจะต้องเข้ามาใช้ชีวิตร่วมกันในทุก ๆ ด้านการใช้นามสกุลร่วมกันก็สมเหตุสมผล"
เขาอธิบายว่า "มันค่อนข้างเชยและล้าสมัยในการใช้เฉพาะนามสกุลของตัวผมเอง"
ในสหรัฐฯ มีผู้หญิงจำนวนมากขึ้นที่พบเห็นในโลกออนไลน์ที่เลือกใช้นามสกุลของตัวเอง ด้วยเหตุผลของหน้าที่การงาน
ขณะที่คู่สามีภรรยาบางคู่เลือกที่จะผสมนามสกุลของตัวเองเข้าด้วยกัน หรือตั้งนามสกุลใหม่ขึ้นมาใช้ร่วมกัน และบางคู่ผู้ชายก็เปลี่ยนมาใช้นามสกุลของผู้หญิง แต่กรณีเหล่านี้ก็ยังไม่พบเห็นบ่อยนัก
เคียราน แม็กเควด วิศวกรชาวอังกฤษวัย 39 ปี ซึ่งเปลี่ยนมาใช้นามสกุลของภรรยาหลังแต่งงาน กล่าวว่า "ผมไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับความเป็นชาย หรือการที่ผู้ชายเป็นใหญ่ และผมรู้ว่า การรักษาเอกลักษณ์ให้ภรรยาผมเป็นเรื่องสำคัญมาก"
เมื่อพิจารณาถึงผู้หญิงที่จะแต่งงานในอนาคต (อายุเฉลี่ยตอนนี้คือ 35 ปี ในประเทศแถบยุโรป รวมถึงสหราชอาณาจักร, อิตาลี และสเปน และประมาณ 28 ปี ในสหรัฐฯ) เรื่องนี้อาจจะส่งผลต่อการเลือกใช้นามสกุลของพวกเธอในอนาคตก็ได้
การศึกษาร่วมกันจากนอร์เวย์และสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่า ยิ่งผู้หญิงมีอิสระทางการเงินมาก มีการศึกษามาก และอายุมากขึ้น ก็ยิ่งมีโอกาสที่พวกเธอจะเลือกใช้นามสกุลของตัวเองมากขึ้น ขณะที่การทำเช่นนี้ได้รับความนิยมน้อยกว่าในหมู่ผู้หญิงที่มีรายได้น้อยกว่าและอายุน้อยกว่าในชุมชนชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน
อเมริกา นาซาร์ ทันตแพทย์วัย 50 ปี ที่อาศัยอยู่ในนอร์เวย์ ซึ่งไม่ได้เปลี่ยนนามสกุลหลังจากแต่งงานเมื่อปีที่แล้ว อธิบายว่า "ฉันมีบ้านของตัวเองแล้ว ฉันมีวุฒิการศึกษาของตัวเอง มีรถยนต์ และอื่น ๆ อีกหลายอย่าง ดังนั้น ถ้าฉันต้องเปลี่ยนนามสกุล ฉันก็จะต้องเปลี่ยนชื่อสกุลฉันที่อยู่ในโฉนดและใบอนุญาตต่าง ๆ เหล่านี้ทั้งหมด"
นักวิจัยอีกหลายคนเน้นย้ำถึงอิทธิพลของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะยืดหยุ่นมากกว่ากับการเปลี่ยนชื่อ
ดร.ฮีธ เชชิงเกอร์ นักจิตวิทยาและนักบำบัดที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย (University of California) ในเมืองเบิร์กลีย์ ทำนายว่า คู่สามีภรรยาต่างเพศ อาจจะเลือกที่จะใช้นามสกุลของตัวเองต่อไป ในขณะที่ "แนวคิดของคำว่า 'ครอบครัว' แผ่ขยายออกไป"
เวริที เซสชันส์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดอายุ 35 ปี จากอังกฤษ ซึ่งเลือกใช้นามสกุลของตัวเองหลังแต่งงาน กล่าวว่า "ถึงเวลาแล้วที่เรื่องนี้จะมีการพูดคุยกันอย่างเปิดเผยระหว่างคู่ชีวิต และไม่ใช่เรื่องที่จะทึกทักเอาเองหรือ ถูกกำหนดไว้แล้ว"
เธอกล่าวว่า "เพื่อนผู้ชายบางคนของเธอตัดสินใจที่จะเลือกใช้นามสกุลของภรรยาพวก ฉันชอบที่พวกเขาทำเช่นนั้น"
อย่างไรก็ตาม เธอกล่าวว่า เธอเข้าใจว่า คู่แต่งงานคู่อื่น ๆ "ชอบทำตามประเพณี" หรืออาจจะเลือกการเปลี่ยนนามสกุลเพื่อ "ให้ผังตระกูลเข้าใจง่ายขึ้น"
ในกรุงลอนดอน เบิร์ก นักบำบัดจิต เชื่อเช่นกันว่า ข้อตกลงการเปลี่ยนนามสกุลตามประเพณีนั้นจะเปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าขณะนี้มีเรื่องสำคัญกว่าอื่น ๆ ที่จะต้องจัดการก่อนในช่วงต่อสู้กับโควิด-19
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่นิยมการใช้นามสกุลผู้ชายตามประเพณีอย่าง โครินนา เอิร์ช หวังว่า ประเพณีนี้จะไม่สูญหายไป "มันคงจะดีถ้ามีการสืบทอดต่อไป แต่เกิดจากการที่ไม่ถูกบังคับเท่านั้น" เธอกล่าว