นายกฯ ยังไม่เปิดด่านจนกว่าจะมั่นใจภัยคุกคามลดลง - รอฟังเสียงปชช.

วานนี้ ( 1 พ.ย. 68 ) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา บริเวณบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว ว่าต้องขอบคุณทุกหน่วยงานที่ร่วมกันคลี่คลายสถานการณ์จนผ่านพ้นไปได้ด้วยดี พร้อมย้ำว่ารัฐบาลไทยจะใช้ทุกช่องทาง ทั้งด้านความมั่นคงและการเจรจาในกรอบคณะกรรมาธิการชายแดน เช่น GBC, JBC และ RBC เพื่อให้เกิดสันติภาพถาวรระหว่างสองประเทศ

นายอนุทินกล่าวถึงกรณีถูกวิจารณ์เรื่อง “ไทยรุกล้ำเขตกัมพูชา” ว่าเป็นความบกพร่องในการสื่อสารของตนเอง และขออภัยประชาชนที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด พร้อมยืนยันว่า “ไม่มีทางที่ประเทศไทยจะเสียดินแดน เสียอธิปไตย หรือเกียรติภูมิของชาติ” และจะระมัดระวังการให้ข้อมูลต่อสาธารณะมากขึ้น

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความคืบหน้าหลังจาก กัมพูชาถอนอาวุธหนัก เช่น จรวดหลายลำกล้อง BM-21 และปืนใหญ่ 155 มิลลิเมตร ออกจากแนวชายแดน ว่าถือเป็น “จุดเริ่มต้นที่ดี” ตามปฏิญญาร่วมที่ทั้งสองประเทศลงนาม โดยจะมีการถอนอาวุธเป็น 3 ระยะ ภายใต้การสังเกตการณ์ของคณะผู้แทนอาเซียน (AOT) รวมถึงการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่เสี่ยง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นระหว่างกัน

สำหรับกระแสข่าวการเปิดด่านชายแดน นายอนุทินยืนยันว่า “ยังไม่มีการหารือกับนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต” และไทยจะไม่เปิดด่านจนกว่าจะมั่นใจว่า ภัยคุกคามต่อความมั่นคงลดลง พร้อมระบุว่า “หากจะเปิดด่าน รัฐบาลต้องขอความเห็นจากประชาชนก่อน” เพื่อให้เกิดความร่วมมือและความไว้วางใจจากทุกฝ่าย

ส่วนกรณีเชลยศึกกัมพูชา 18 คน ที่มีการขอลี้ภัยในประเทศไทย นายอนุทินชี้แจงว่า ประเด็นดังกล่าวไม่ได้อยู่ในปฏิญญาร่วม และไทยจะเป็นฝ่ายประเมินสถานการณ์ด้วยตนเอง โดยยึดหลักกติกาสากล ไม่ใช้ชีวิตคนเป็นตัวประกัน ทั้งนี้จะต้องพิจารณาความร่วมมือและเจตนารมณ์ของฝ่ายกัมพูชาเป็นหลัก

ด้าน พลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวเสริมว่า การถอนอาวุธระยะที่ 1 จะใช้เวลา 21 วัน โดยเน้นถอนอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง เช่น BM-21 และปืนใหญ่ 125 มิลลิเมตร เพื่อป้องกันผลกระทบต่อประชาชน โดยยืนยันว่ามีผู้สังเกตการณ์จากอาเซียนกำกับการดำเนินการอย่างใกล้ชิด พร้อมขอให้ประชาชนมั่นใจว่า ขั้นตอนทั้งหมดเป็นไปอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม