ถอดบทเรียน 15 สิ่งสำคัญ ที่ทุกองค์กรต้องปรับตัว เพื่ออยู่รอดก่อนถูกโจมตีทางไซเบอร์

การโจมตีทางไซเบอร์ในปัจจุบันนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่กลายเป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้กับทุกองค์กร ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก องค์กรจึงไม่ควรหยุดอยู่แค่การ “ป้องกันไม่ให้ถูกโจมตี” เท่านั้น แต่ต้องเร่งปรับตัวทั้งมุมมอง กระบวนการ และเครื่องมือ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือเมื่อเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นจริง แล้วองค์กรจะเริ่มตรงไหนดี และสามารถเรียนรู้อะไรได้บ้างจากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นแล้ว ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป โดยคุณฐิติรัตน์ ศิริพัฒนาเลิศ หัวหน้าสายงานด้านไซเบอร์ ซิเคียวริตี้ ได้แบ่งปันมุมมองที่เป็นประสบการณ์จากเหตุการณ์ภัยไซเบอร์ที่เกิดขึ้นจริง พร้อมสรุปเป็นบทเรียนและแนวทางเสริมสร้าง “ภูมิต้านทานทางไซเบอร์ (Cyber Resilience)” ที่ทุกองค์กรควรนำไปปรับใช้ในการรับมือกับภัยคุกคามในปัจจุบันได้อย่างเป็นรูปธรรม
1. ภัยไซเบอร์เกิดขึ้นถี่และเร็วเกินกว่าจะ “รอให้ปัญหาเกิดก่อนค่อยแก้”
ทั่วโลกมีการโจมตีทางไซเบอร์ทุก ๆ 39 วินาที และใช้เวลาเฉลี่ยเพียง 62 นาที ตั้งแต่เริ่มต้นจนเจาะระบบสำเร็จ ซึ่งสะท้อนอย่างชัดเจนว่า หัวใจสำคัญขององค์กรต้องมีระบบตรวจจับและตอบสนองแบบเรียลไทม์ ไม่ใช่รอให้เหตุเกิดก่อนค่อยแก้ไข
โดยมีศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยไซเบอร์ หรือ ศูนย์ SOC และทีม Incident Response ที่พร้อมทำงานตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน เพื่อจำกัดความเสียหายไม่ให้ลุกลาม
2. ตรวจจับ–วิเคราะห์–หยุดภัย ให้จบภายใน 1 ชั่วโมง
การรับมือกับภัยไซเบอร์ที่มีประสิทธิภาพ ต้องกำหนดเป้าหมายด้านเวลาในการหยุดกัยที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันความเสียหาย
- ตรวจจับให้ได้ภายใน 1 นาที
- วิเคราะห์สาเหตุ ความรุนแรง และกำหนดวิธีการแก้ไขสถานการณ์ภายใน 10 นาที
- ตัดสินใจและหยุดภัยให้ได้ภายใน 60 นาที
3. รูปแบบการโจมตีซับซ้อนและเปลี่ยนไปตลอดเวลา
จากเดิมที่ภัยไซเบอร์มักมาในรูปแบบมัลแวร์หรืออีเมลหลอกลวง (Phishing) ปัจจุบันผู้ร้ายหันมาใช้ช่องโหว่ในระบบปฏิบัติการหรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ เช่น Windows ร่วมกับเทคนิคขั้นสูงอย่าง Social Engineering, Deepfake และ Supply Chain Attack ทำให้การตรวจจับยากขึ้น องค์กรจึงจำเป็นต้องอัปเดตระบบ Patch อยู่เสมอ ซึ่ง Patch เปรียบเหมือน “ตัวปะรูรั่วหรือตัวซ่อมระบบ” ที่ผู้พัฒนาปล่อยออกมาเพื่ออุดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ลดโอกาสถูกเจาะจากจุดอ่อนเดิม
4. การขโมยข้อมูลและตลาดมืด (Dark Web) เติบโตขึ้นกว่า 112%
เมื่อข้อมูลกลายเป็นสินค้าที่ซื้อ-ขายได้ในตลาดมืด ผู้ร้ายจึงมีแรงจูงใจทางการเงินสูงขึ้น องค์กรจึงต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันข้อมูลอย่างจริงจัง จำเป็นต้องมีการเข้ารหัสข้อมูลสำคัญ และเสริมระบบป้องกันหลายชั้น ไม่พึ่งพิงเพียงแค่ Firewall หรือ Antivirus เท่านั้น
5. Ransomware ยังคงเป็นภัยคุกคามร้ายแรง
ผู้ร้ายมีการปรับตัวตลอดเวลา ทั้งวิธีโจมตีและวิธีเรียกค่าไถ่ องค์กรที่ตอบสนองช้าหรือขาดการเตรียมพร้อมทั้งด้านการป้องกันและการสำรองข้อมูล มักต้องเผชิญกับการสูญเสียทั้งข้อมูล ระบบ รวมถึงเม็ดเงินจำนวนมหาศาลจากการจ่ายค่าไถ่หรือการหยุดชะงักของธุรกิจ
6. ควรเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง
การโจมตีมักเกิดช่วงเวลากลางคืนหรือวันหยุด องค์กรควรมีศูนย์เฝ้าระวังหรือระบบแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ เพื่อเป็นเกราะป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น ถ้าองค์กรรู้เร็วเท่าไร ก็จะสามารถควบคุมสถานการณ์และจำกัดวงความเสียหายได้เร็วขึ้น
7. Incident Response Plan คือ อาวุธสำคัญยามวิกฤติ
สิ่งที่องค์กรต้องมีคือ แผนปฏิบัติการและขั้นตอนที่ชัดเจน เมื่อเกิดเหตุผิดปกติ มีขั้นตอนการทำงาน คนรับผิดชอบ มีการตรวจสอบ และจะตัดการเชื่อมต่อได้โดยเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้การโจมตีลุกลาม
8. รู้จักทรัพย์สินดิจิทัลของตัวเองให้ครบ
องค์กรต้องมีรายการทรัพย์สิน (Asset Inventory) และแผนผังเครือข่าย(Network Diagram) ให้ชัดเจน เพื่อให้รู้ว่าองค์กรมีระบบอะไร เชื่อมต่อกันอย่างไร และใครดูแล รับผิดชอบบ้าง เมื่อเกิดเหตุผิดปกติ สามารถติดตามตัวผู้รับผิดชอบได้อย่างรวดเร็ว ปิดช่องโหว่ให้ตรงจุด และจำกัดวงการโจมตีได้ทันท่วงที
9. ความประมาทของคน คือจุดอ่อนใหญ่ที่สุด
แม้ว่าระบบจะถูกออกแบบมาดีแค่ไหน แต่ความประมาทของผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งรหัสผ่านง่าย ๆ ใช้เครื่องส่วนตัวเชื่อมต่อระบบบริษัทโดยไม่มีมาตรการป้องกัน หรือเปิด Remote Desktop Protocol (RDP) ให้เข้าถึงจากอินเทอร์เน็ต ล้วนเพิ่มความเสี่ยงในการถูกโจมตี จึงควรกำหนดให้มีการใช้การยืนยันตัวตนหลายขั้นตอน ( Multi Factor Authentication) และจัดให้มีการสร้างความตระหนักรู้กับผู้ใช้งานในการตั้งค่ารหัสผ่านที่แข็งแกร่ง ยากต่อการคาดเดา
10. ความเสี่ยงจากพาร์ทเนอร์ก็ไม่ควรมองข้าม
แม้องค์กรเราจะมีระบบความปลอดภัยที่แข็งแรง แต่หากพาร์ทเนอร์ ถูกโจมตีระบบที่เชื่อมต่อกันก็อาจกลายเป็นช่องทางรั่วไหลได้โดยไม่รู้ตัว องค์กรจึงต้องมีการประเมินความเสี่ยง (Vendor Risk Assessment) และกำหนด
มาตรฐานความปลอดภัยขั้นต่ำร่วมกัน
11. องค์กรที่มองข้ามสัญญาณเตือน ไม่ตรวจสอบต่อ มักตกเป็นเหยื่อ
หลายองค์กรมีระบบแจ้งเตือนอยู่แล้ว และเมื่อมีสัญญาณเตือนสิ่งผิดปกติ องค์กรอาจจะมองข้าม ไม่ตรวจสอบต่อ หรือขาดการสื่อสารระหว่างทีมไอทีและผู้ดูแลระบบ อาจทำให้กลายเป็นเหยื่อการถูกโจมตีในที่สุด และนำไปสู่ความเสียหาย เช่น บริการหยุดชะงัก สูญเสียรายได้มหาศาล หรืออาจสูญเสียเงินกว่าพันล้านบาทจาก Ransomware หรือค่าไถ่ซอฟต์แวร์
12. Cybersecurity ต้องผสาน People + Process + Technology
การลงทุนด้านเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวไม่พอ หากต้องมีคนที่เข้าใจ และกระบวนการที่พร้อมใช้งานจริง องค์กรต้องออกแบบให้ คน กระบวนการ และเทคโนโลยีทำงานเป็นระบบเดียวกัน เพื่อให้การป้องกันและตอบสนองมีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยการติดตั้ง ระบบตรวจจับและตอบสนองภัยบนเครื่องปลายทาง (Endpoint Detection and Response) หรือ EDR อย่างถูกต้องครบทุกเครื่อง พร้อมกับมีการตั้งค่านโยบายความปลอดภัยให้เหมาะสม เพื่อลด false-positive alert ทำให้ตรวจจับภัยได้แม่นยำขึ้น
13. ภัยไซเบอร์ = ความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์
เหตุการณ์โจมตีไซเบอร์ไม่ได้กระทบแค่ระบบไอทีเท่านั้น แต่ส่งผลโดยตรงต่อ ชื่อเสียงองค์กร ความเชื่อมั่นของลูกค้าและมูลค่าทางธุรกิจ หากไม่มีการเตรียมความพร้อมที่ดีพอ องค์กรอาจสูญเสียทั้งข้อมูล ลูกค้า และโอกาสทางธุรกิจในเวลาอันสั้น
14. วัฒนธรรม “เอ๊ะ!” เปรียบเสมือนเกราะป้องกันที่ทรงพลัง
องค์กรที่ “รอด” จากเหตุการณ์ถูกโจมตี ทุกคนมักจะสงสัยไว้ก่อน (Be Vigilant) และกล้าตั้งคำถามกับสิ่งที่ผิดปกติ เช่น เมื่อเห็นการแจ้งเตือนแล้วไม่มองข้าม เห็นอีเมลแปลก ๆ แล้วไม่คลิกทันที เป็นต้น
15. ภูมิต้านทานทางไซเบอร์ (Cyber Resilience) เป็นการเรียนรู้ไม่รู้จบ จากทุกเหตุการณ์จริง
ไซเบอร์ซิเคียวริตี้ ไม่ใช่เรื่องที่ทำครั้งเดียวจบ แต่เป็นวงจรการเรียนรู้จากเหตุการณ์จริง (Post-Incident Review) เพื่อปรับปรุงให้ระบบแข็งแรงขึ้น และสร้างวัฒนธรรมความตระหนักรู้ในทุกระดับขององค์กรให้ “เรียนรู้ไปด้วยกัน” ไม่ใช่แค่ฝ่ายไอทีเท่านั้น
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
