รีเซต

TMTราคาเหล็กยืนจุดเสถียร วางเป้ายอดขายปี65โต10%

TMTราคาเหล็กยืนจุดเสถียร วางเป้ายอดขายปี65โต10%
ทันหุ้น
14 มกราคม 2565 ( 19:29 )
295
TMTราคาเหล็กยืนจุดเสถียร วางเป้ายอดขายปี65โต10%

ทันหุ้น - TMT มองความต้องการใช้งานเหล็กปี 65ยังขยายตัว ส่วนราคาเหล็กปีนี้ชะลอความร้อนแรงและคาดเข้าสู่จุดเสถียรภาพมากขึ้น วางเป้ายอดขายปี 65 เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ขณะที่รายได้เพิ่มขึ้น 5% จากปีก่อน พร้อมเดินหน้าลงทุนเสริมแกร่งกำลังผลิต หนุนปริมาณขายปลายปีนี้พุ่ง

 

นายไพศาล ธรสารสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีเอ็มที สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ TMT ผู้ผลิตและให้บริการเกี่ยวเนื่องผลิตภัณฑ์เหล็กแบบครบวงจร เปิดเผยว่า ประเมินภาพรวมอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจในปี 2565คาดว่าจะมีการปรับตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้มากน้อยแค่ไหนนั้นอาจต้องขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ด้วย โดยประมาณการณ์ตัวเลขสูงสุดไว้ที่ 4%และน้อยที่สุดประมาณ 3%

 

ดีมานด์เหล็กโตต่อ

มองความต้องการใช้งานเหล็กในประเทศยังคงขยายตัวได้เพิ่มต่อ เพียงแต่อาจโตแบบค่อยเป็นค่อยไป และไม่หวือหวาเท่ากับปีก่อน หลักๆเป็นผลจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะเริ่มมีข้อจำกัด เพราะที่ผ่านมารัฐได้ใช้งบอย่างเต็มที่แล้ว

 

สำหรับภาพรวมตลาดคู่ค้ารายใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรปนั้น มองว่าในปี 2565อาจเติบโตชะลอตัวลง ขณะที่ตลาดจีนปีนี้คาดหวังว่าการเติบโตจะใกล้เคียงปีก่อน เนื่องจากรัฐบาลจีนหันมาให้การสนับสนุนและกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศมากขึ้น สะท้อนผลกระทบต่อตัวเลขยานยนต์อาจใกล้เคียงหรืออ่อนตัวลงจากปีก่อน

 

ขณะที่งานก่อสร้างทั้งส่วนโครงการภาครัฐและเอกชน มองว่าจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศ ทั้งนี้ ประเมินความต้องการใช้เหล็กในปี 2565ทรงตัวใกล้เคียงกับปี 2564 โดยคาดว่าราคาเหล็กอาจผันผวนไปตามดีมานด์และซัพพลายของตลาดโลก โดยวางกรอบไว้ที่ประมาณ 5%

 

อย่างไรก็ดี ราคาเหล็กในปัจจุบันมีการปรับตัวลดลงเฉลี่ยราว 7-10% จากปลายปีก่อน ซึ่งมองว่าเป็นระดับราคาที่มีเสถียรภาพ และหากปัจจัยด้านโลจิสติกส์คลายลงได้ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่เข้ามาช่วยสนับสนุนดีมานด์เหล็กในปี 2565ได้เช่นกัน

 

ยอดขายโต10%

สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2565บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตของยอดขายไว้ที่ไม่ต่ำกว่า 10% ในส่วนของรายได้จากการขายในปีนี้คาดว่าจะมีการเติบโตเฉลี่ยที่ประมาณ 5%ต่อเนื่องจากปี 2564

 

โดยปี 2564คาดว่าการเติบโตของรายได้จะไม่น้อยกว่า 20,000ล้านบาท ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดใหม่จากปี 2563 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 14,628.50 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 537.88 ล้านบาท โดย 9 เดือนแรกปี 2564 บริษัทมีรายได้รวมที่ 16,008.25 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,369.15 ล้านบาท

 

ลงทุนเสิรมแกร่ง

ส่วนแผนการลงทุนในปี 2565 นั้น บริษัทยังคงเดินหน้าแผนที่จะขยายกำลังการผลิตท่อเหล็กโครงสร้าง ปัจจุบันกำลังการผลิตอยู่ที่ 240,000 ตันต่อปี คาดว่าจะเพิ่มเป็น 300,000 ตันต่อปี มีการปรับปรุงระบบคลังสินค้านำระบบออโตเมชั่นเข้ามาประยุกต์ใช้มากขึ้น

 

คาดว่าจะเข้ามาช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการลูกค้าได้มากขึ้น เป็นอีกแรงหนุนการเติบโตให้กับบริษัท รวมถึงปรับปรุงไลน์การผลิตเหล็กแผ่นเรียบพิเศษ กำลังกาผลิต 1.8แสนตัน คาดดำเนินการเสร็จสิ้นกลางปี 2565หนุนให้ปริมาณการขายในช่วงครึ่งหลังปีนี้จะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก

 

"มองความต้องการใช้งานเหล็กในปี 65ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน เพียงแต่ว่าความร้อนแรงในปีนี้อาจลดน้อยลงไป จากภาวะชะลอตัวของตลาดคู่ค้าหลักรายใหญ่อย่างสหรัฐฯและยุโรป รวมถึงจีน แต่ในอีกนัยยะหนึ่งหมายความว่าราคาเหล็กปีนี้ดูจะมีเสถียรภาพมากขึ้น การแกว่งตัวผันผวนเฉลี่ยอาจอยู่ที่ราว 5% บวกลบ สำหรับปริมาณขายในปีนี้มองว่าจะเติบโตจากปีก่อน 10% ส่วนรายได้คาดเติบโต 5% จากปีก่อน ด้านแผนลงทุนเรายังคงดำเนินตามแผนเดิมที่วางไว้"นายไพศาล กล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง