ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาหนึ่งที่อยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ศาสนาพุทธก็ถูกครอบงำจากอิทธิพลความเชื่ออื่น ทำให้สิ่งที่เราเห็นในพุทธศาสนาในปัจจุบันนั้นไม่ใช่พุทธแท้ ตอนนี้เราสามารถเข้าใจพุทธที่แท้ได้มากขึ้นแล้ว ผ่านหนังสือเล่มนี้ ทั้งประวัติความเป็นมา คำสอนของพระพุทธองค์ ตำนานความเชื่อต่างๆ และความเป็นไปของพุทธศาสนาในยุคหลังพุทธกาล หนังสือเล่มนี้แต่งโดยฐิติขวัญ เหลี่ยมศิริวัฒนา ภาพประกอบโดย อรณัญช์ สุขเกษม โดยเป็นการอธิบายด้วยข้อความที่กระชับพร้อมภาพประกอบเสริมช่วยให้เข้าใจง่าย ถือเป็นหนังสือที่ให้ความรู้ทางพระพุทธศาสนาที่น่าสนใจยิ่ง เนื้อหาภายในเล่มก่อนยุคพุทธกาลพระพุทธศาสนาหลังยุคพุทธกาลคำสอนสำคัญของพระพุทธเจ้าเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา พุทธสุภาษิต ความประทับใจและความรู้ที่ได้ในมุมมองของครีเอเตอร์ ได้เรียนรู้ว่าการที่บุคคลจะเป็นพระพุทธเจ้าได้นั้นต้องเกิดจากการตั้งสัจอธิษฐานปรารถนาพุทธภูมิ สั่งสมบุญบำเพ็ญบารมีเตรียมตนให้พร้อมสำหรับตรัสรู้ธรรมเป็นพระพุทธเจ้า บุคคลที่มีความตั้งใจเช่นนี้เรียกว่า พระโพธิสัตว์ ได้เรียนรู้การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์นั้น มีการสร้างความดี 10 อย่าง คือ1.ทาน การให้2.ศีล รักษาพฤติกรรมกาย วาจา ใจให้เป็นปกติ3.เนกขัมมะ การปลีกตัวออกจากกาม4.ปัญญา การพัฒนาจิต5.วิริยะ การเพียรพยายาม6.ขันติ อดทน7.สัจจะ ตั้งใจจริงในการรักษาคำพูด8.อธิษฐาน ตั้งใจอย่างมุ่งมั่น9.เมตตา การมอบความรัก ความปรานีให้ผู้อื่น10.อุเบกขา การวางเฉย เมื่อเราไม่สามารถให้การช่วยเหลือพวกเขาได้ ได้เรียนรู้ว่าบุคคลในโลกนี้เปรียบเสมือนบัว 4 เหล่า ใช่ว่าจะสอนกันได้ให้เกิดปัญญาเหมือนกันทุกคน1.อุคฆฏิตัญญู คือ พวกที่สติปัญญาดี ฟังธรรมแล้วเข้าใจทันทีเสมือนบัวที่อยู่พ้นน้ำ2.วิปจิตัญญู คือ พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง ฟังธรรมแล้วพิจารณาตาม นำไปฝึกฝนเพิ่มเติมย่อมเข้าใจได้ไม่นาน เหมือนบัวที่อยู่ปริ่มน้ำ3.เนยยะ คือ พวกที่สติปัญญาน้อย ฟังธรรมแล้วพิจารณาตาม ฝึกฝนด้วยความขยัน ไม่ย่อท้อ สักวันหนึ่งก็จะสามารถเข้าใจได้ เสมือนบัวใต้น้ำรอวันเบ่งบานสักวันหนึ่ง4.ปทปรมะ คือ พวกไร้สติปัญญา แม้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจ เสมือนบัวจมใต้โคลนตม ได้เรียนรู้ถึงเรื่องพระธรรม คือ คำสอนเกี่ยวกับความเป็นจริงต่างๆของธรรมชาติ รวมถึงข้อปฏิบัติเพื่อพัฒนาชีวิตไปสู่ทางพ้นไปจากวงจรธรรมชาติ คือ นิพพาน คือการไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก พ้นไปจากวงจรแห่งทุกข์ พ้นไปจากการไปเบียดเบียน และถูกคนอื่นเบียดเบียน เป็นเส้นทางบรมสุขถาวรนิรันดร์ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับกรรมมากขึ้น กรรม หมายถึง การกระทำด้วยเจตนา บุคคลที่ทำกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ย่อมได้รับผลเช่นนั้น โดยกรรมแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ กายกรรม (การกระทำทางกาย) วจีกรรม (การกระทำทางวาจา) และมโนกรรม (การกระทำทางใจ) ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการให้ผลของกรรมหมวดที่ 1 กรรมที่ให้ผลในปัจจุบัน ในภพถัดไป ในภพต่อๆไป และกรรมที่เลิกให้ผลหมวดที่ 2 กรรมตามหน้าที่ เช่น กรรมที่ทำให้เกิด กรรมสนับสนุนหรือซ้ำเติม กรรมบีบคั้น และกรรมตัดรอนหมวดที่ 3 กรรมหนักให้ผลก่อน กรรมทำบ่อยให้ผลรองลงมา ตามมาด้วยกรรมใกล้ตาย และกรรมทำด้วยเจตนาอ่อน ให้ผลเมื่อกรรมอื่นให้ผลไปแล้วและด้วยเหตุที่กรรมไม่สามารถให้ผลได้หมดในชาติเดียว ผู้ที่ยังมีกรรมอยู่จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆใน 31 ภพภูมิ ตามเหตุที่ตนได้สร้างไว้ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติที่แท้จริงของสรรพสิ่ง อันได้แก่อนิจจัง สรรพสิ่งล้วนไม่เที่ยงต้องเปลี่ยนแปลงไปทุกขัง สรรพสิ่งย่อมคงทนในสภาพเดิมไม่ได้อนัตตา สรรพสิ่งมิใช่ตัวตน ไม่มีเจ้าของกฎ 3 ข้อนี้เรียกว่า ไตรลักษณ์ เป็นลักษณธธรรมชาติของสรรพสิ่ง ได้เรียนรู้เกี่ยวกับอริยสัจ 4 หนทางแห่งการดับทุกข์1.ทุกข์ สิ่งที่เกิดล้วนเป็นทุกข์2.สมุทัย เหตุแห่งทุกข์ คือ อวิชชา (ความไม่รู้) ทำให้คนทำตามกิเลสตัณหาหรือแรงบีบคั้น อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์3.นิโรธ ความดับเหตุแห่งทุกข์ บังเกิดความสุขสงบ4.มรรค หนทางไปสู่ความดับทุกข์ วิธีแก้ทุกข์ ส่วนใหญ่จะเป็นการดำเนินชีวิตตามทางสายกลาง เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา ได้เรียนรู้ว่า มรรค หรือวิธีแก้ทุกข์ มีอยู่ 8 ประการ1.สัมมาทิฏฐิ การมีความเห็นในทางที่ถูกต้อง ไม่หลงผิดคิดว่าทำชั่วแล้วชีวิตจะดี2.สัมมาสังกัปปะ มีความตั้งใจในทางที่ถูกต้อง3.สัมมาวาจา พูดในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ฉ้อฉลเพื่อประโยชน์ของตน4.สัมมากัมมันตะ ทำในสิ่งที่ถูกต้อง5.สัมมาอาชีวะ ประกอบอาชีพในทางที่ถูกต้อง6.สัมมาวายามะ มีความเพียรในทางที่ถูกต้อง หมายถึงพยายามให้ถูกทางเพื่อไม่ให้ความพยายามนั้นสูญเปล่า7.สัมมาสติ การรู้สึกตัวในทางที่ถูกต้อง8.สัมมาสมาธิ มีความแน่วแน่ในทางที่ถูกต้อง ได้เรียนรู้ว่าอริยสัจ 4 เป็นความจริงอันประเสริฐที่ทำให้คนธรรมดากลายเป็นพระอริยะได้ อริยสัจ 4 สามารถใช้ได้กับทุกปัญหาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือใหญ่โตแค่ไหนก็สามารถใช้หลักอริยสัจเป็นแนวทางแก้ปัญหาได้ทั้งนั้น ได้เรียนรู้ว่า ปฏิจจสมุปบาท เป็นหลักธรรมที่อธิบายกฎธรรมชาติเกี่ยวกับเหตุและผล รวมถึงปัจจัยอันทำให้เกิดทุกข์เป็นวงจรต่อเนื่องตามลำดับขั้น ดังนี้อวิชชา (ความไม่รู้)สังขาร (ความคิดปรุงแต่ง)วิญญาณ (การรับรู้)นามรูป (กายและจิต)สฬายตนะ (ประสาทสัมผัสทั้ง 6)ผัสสะ (การสัมผัสด้วยประสาทสัมผัสต่างๆ)เวทนา (ความรู้สึก)ตัณหา (ความอยาก)อุปาทาน (ความยึดติด)ภพ (ความมี ความเป็น)ชาติ (การเกิดอัตตาตัวตน)ชรา มรณะ (การแก่ การตาย) นับเป็นหนังสือที่น่าสนใจมากครับ ด้วยเนื้อหาเพียง 110 หน้ากระดาษก็สามารถทำให้เราเข้าใจพุทธศาสนาในภาพใหญ่ได้แล้ว ซึ่งทำให้เรารู้ว่ากว่าศาสนาพุทธจะมาถึงจุดนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หลักคำสอนในอย่างเรื่องก็สามารถนำไปใช้ได้ไม่ขึ้นกับกาลเวลา ครีเอเตอร์เองก็เป็นคนที่สนใจในเนื้อหาเชิงปรัชญาและการหาทางพ้นทุกข์จากชีวิตในหลายๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำงาน การหาเงินเพื่อเลี้ยงชีพ การปรารถนาในความรักและการยอมรับจากสังคม รวมถึงเรื่องของสุขภาพด้วย ทั้งหมดนี้ศาสนาพุทธเองก็ตระหนักถึงเรื่องเหล่านี้ดี และมองว่าเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ที่ต้องหาทางดับไปด้วยเช่นกัน แม้ว่าประเด็นเนื้อหาด้านอภินิหารบางส่วนดูไม่น่าจะเป็นไปได้ในทางวิทยาศาสตร์ แต่ก็มีคนตั้งข้อสังเกตว่านั่นอาจจะเป็นวิทยาศาสตร์ในส่วนที่เรายังเข้าไม่ถึงในปัจจุบันก็ได้ เพราะสิ่งที่พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ เริ่มพิสูจน์ได้จริงทางฟิสิกส์ควอนตัมทีละเรื่องได้แล้ว หากชาวพุทธได้เข้าใจเรื่องราวและแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาแล้ว ย่อมส่งผลดีตาอความเชื่อของตนเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาให้คงอยู่สืบไป แต่หากไม่ใช่ชาวพุทธ การทำความเข้าใจความเชื่อนั้นก็ทำให้เข้าใจผู้คนและอยู่ร่วมกันอย่างสันติมากขึ้นครับ เครดิตภาพภาพปก โดย jcomp จาก freepik.com ภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียนภาพที่ 3 โดย tawatchai07 จาก freepik.comภาพที่ 4 โดย Wiroj Sidhisoradej จาก freepik.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจรีวิวหนังสือ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็นรีวิวหนังสือ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น 2รีวิวหนังสือ กรรมของนักเล่นหุ้นรีวิวหนังสือ ธรรมะหน้าเด้งรีวิวหนังสือ วิชาแรก วิชาชีวิต7-11 Community ห้องลับเมาท์มอยของกินของใช้ในเซเว่น อะไรดีอะไรใหม่ ต้องรู้ ต้องคุย ต้องแชร