“รากฐานของตึกคืออิฐ รากฐานของชีวิตคือการวางแผนการเงินที่ดี” การวางแผนทางการเงินเป็นสิ่งที่ควรทำสำหรับทุกคน แต่การวางแผนที่ไม่เป็นระบบก็ส่งผลให้การเติบโตทางการเงินของเราเป็นไปอย่างไร้ทิศทาง อาจส่งผลให้เราก้าวสู่ความมั่งคั่งในชีวิตได้ช้ากว่าก็เป็นได้ ในวันนี้เราจึงมาแนะนำพื้นฐานของการวางแผนทางการเงิน ซึ่งเปรียบเสมือนรากฐานของปิรามิดทางการเงินเพื่อสร้างความมั่งคั่งกับเราได้ในอนาคต หลักการนั้นคือ Cash Flow Management ภาพประกอบจาก freepikการบริหารกระแสเงินสด (Cash Flow Management) หรือเรียกด้วยคำศัพท์อย่างง่ายว่า การวางแผนรายรับ-รายจ่าย คือการจัดการเงินสดที่อยู่ในมือของเราแต่ละเดือนให้มีสภาพคล่องอยู่เสมอแท้จริงหลักการนี้ ประยุกต์มาจากการบริหารกระแสเงินสดของการทำธุรกิจ ที่จำเป็นต้องมีการตรวจสอบการไหลเข้าออกของเงินอยู่เสมอ แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกคนล้วนมีกระแสเงินสดอยู่ในมือ ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีรายรับประจำเป็นพนักงานเงินเดือน ฟรีแลนซ์ หรือแรงงาน เพียงแต่ปรับเปลี่ยนมาเป็นการจัดการรายรับรายจ่ายในแต่ละเดือนนั่นเอง ซึ่งคำว่า “เงินสด (Cash)” หมายถึง เงินที่เราถืออยู่ในมือในรูปแบบต่างๆ เช่น เหรียญ ธนบัตร เช็ค หรือแม้แต่เงินฝากในธนาคาร เป็นเงินที่มีสภาพคล่องที่เราสามารถหยิบมาใช้จ่ายได้ทันท่วงทีขั้นแรกของการจัดการรายรับรายจ่าย คือการตรวจสอบรายรับของเราว่ามีจำนวนเท่าไหร่ โดยสมมุติว่าจะใช้สัดส่วนรายรับที่ 100% ซึ่งใน 100% นั้นจะต้องแบ่งออกมาเป็น 3 ส่วนด้วยกัน คือ (1) หนี้สิน (2) เงินออมเงินลงทุน (3) ค่าใช้จ่ายประจำดังนั้นในการจัดสรรสัดส่วนค่าใช้จ่าย ที่ดีควรจะอยู่ที่30:30:40ภาพประกอบโดยผู้เขียนหนี้สิน 30% ภาระหนี้สิน ซึ่งมีความแตกต่างจาก ค่าใช้จ่ายประจำ ตรงที่จะต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้คงอยู่ถาวร มีวันหมดไปได้ เช่น ค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ บัตรเครดิต หนี้ กยศ. ส่งน้องเรียน ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งสัดส่วนหนี้สินต่อรายได้ควรจะอยู่ที่ไม่เกิน 30% เช่น มีเงินเดือน 15,000 บาท ก็ควรจะมีหนี้สินไม่เกิน 4,500 บาทเงินออม 30% อาจจะเป็นการออม หรือการลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ หลักการสำคัญของการออมเงินให้มีประสิทธิภาพคือ ออมก่อนใช้ทีหลัง โดยสัดส่วนการออมจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่ภาระทางการเงินของแต่ละคน ซึ่งในทางที่ดีควรจะอยู่ที่ 10-30% ของรายรับ เช่น หากเป็นฟรีแลนซ์รับงานครั้งละ 5,000 บาท อาจจะต้องหักมา 500-1,500 บาท มาไว้เป็นเงินออม โดยทางที่ดีควรจะมีเงินสำรองอยู่ที่ 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายประจำวัน สำหรับมนุษย์เงินเดือน หรือ 6-12 เท่า สำหรับผู้มีรายได้ไม่แน่นอน ก่อนถึงค่อยนำเงินมาลงทุนค่าใช้จ่ายประจำ 40% เช่น ค่าอาหาร ค่าสาธารณูปโภค ค่าเดินทาง ค่าสันทนาการ ฯลฯ เช่น หากมีเงินเดือน 20,000 เท่ากับว่าเราจะมีอำนาจใช้จ่ายในวงเงินไม่เกิน 8,000 บาท ถ้าเหลือก็อาจแบ่งไปสมทบกับการจ่ายหนี้สิน หรือเป็นเงินออมได้และนี่ก็เป็นหลักการพื้นฐานในการสร้างความมั่นคงของการวางแผนทางการเงิน ไม่จำเป็นว่าการแบ่งสัดส่วนที่กล่าวมาข้างต้น จะต้องอยู่ในรูปแบบ 30:30:40 เสมอ สามารถปรับสัดส่วนได้ เพราะภาระทางการเงินของแต่ละคนย่อมไม่เท่ากันหากใครไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร แนะนำว่าให้เริ่มจาก การจดบันทึกรายรับรายจ่าย เพราะจะทำให้เราทราบถึงค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ว่าเรามองเห็นว่าใช้จ่ายในส่วนไหนมากเกินไป และสามารถปรับลด ปรับเปลี่ยนให้การใช้เงินมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเองรูปประกอบจาก pixabay